วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2562

คลิปเล่าตำนานการกวนเกษียรสมุทร

https://m.youtube.com/watch?feature=share&v=R3QC9X8vSJc
https://Youtube.com/ohwow2244
เพจ อรมณีจันทร์ หมอดูแม่นมาก


ข้อมูลจากเวบ facebook เพจ นาคราช

บารมีพญานาคธรรมะแห่งศรัทธา

กษัตริย์นาคาอันยิ่งใหญ่อีกองค์หนึ่งที่มีชื่อว่า วาสุกรี จากคัมภีร์ปุราณะ พญาวาสุกรีนาคราชเป็นบุตรของพระกัศยปมุนีและนางกัทรุ และเป็นพี่น้องกับ พญาอนันตนาคราช (พญานาคราชคู่บารมีของพระวิษณุ)
มีพระเหสีชื่อ สุนีย์จิณดา พญาวาสุกรีเป็นนาคราชที่พระศิวะใช้เป็นสายธนูในการทำลายล้างเมืองตรีปุระ ในตำนานที่พระศิวะปราบตรีปุราสูร

มีบางตำนานกล่าวว่างูที่พันรอบพระศอขององค์พระศิวะก็คือวาสุกรีนาคราช ในอินเดียตอนเหนือ มีการนับถือพญาวาสุกรีเป็นอย่างมากในฐานะเทพเจ้าองค์หนึ่ง ในพิธีนาคปัญจมีซึ่งเป็นพิธีบูชางูของอินเดีย ก็จะมีการบูชาพญาวาสุกรีร่วมด้วย

แต่ตำนานที่ทำให้พญาวาสุกรีเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ได้แก่ ตำนานกวนเกษียรสมุทร ซึ่งเป็นตำนานยิ่งใหญ่ที่อยู่ในมหากาพย์มหาภารตะของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ตามตำนานเป็นเรื่องราวการต่อสู้ของเหล่าเทวดาและอสูร ที่มีการสู้รบเพื่อแย่งชิงสวรรค์กันมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ในครั้งหนึ่งเทวดาอ่อนแอและมีทีท่าจะเพลี้ยงพล้ำให้กับอสูร พระอินทร์จึงได้ไปขอความช่วยเหลือต่อพระวิษณุ ซึ่งพระวิษณุได้แนะนำให้ไปทำพิธีกวนเกษียรสมุทรในทะเลน้ำนม เพื่อให้ได้น้ำอมฤตมาดื่มจะได้มีพลังและเป็นอมตะ แต่การกวนเกษียรสมุทรเป็นเรื่องที่ยากมากและเหล่าเทพไม่มีกำลังพอที่จะกระทำได้ฝ่ายเดียว จึงออกอุบายไปชวนเหล่าอสูรมาร่วมพิธีการกวนเกษียรสมทุรและสัญญาจะแบ่งน้ำอมฤตให้ (โดยเหล่าเทวดาได้วางแผนที่จะหักหลังเหล่าอสูรในตอนท้าย)



เมื่อเริ่มพิธีกวนเกษียรสมุทร พระวิษณุได้เสด็จมาเป็นองค์ประธาน เหล่าอสูรได้ถอนภูเขามันทรคีรีมาเพื่อใช้เป็นไม้กวน และอัญเชิญพญาวาสุกรีนาคราชมาพันรอบเขามันทรคีรีเพื่อจะใช้ลำตัวเป็นเชือกในการชักเพื่อกวนเกษียรสมุทรในครั้งนี้ เหล่าเทวดาได้ให้อสูรมาทำการชักอยู่ทางส่วนเศียรของพญาวาสุกรี โดยตนเองทำการชักทางส่วนหาง เพราะรู้ว่าเมื่อทำการชักนาคเมื่อไร พญานาคจะต้องเจ็บปวดและพ่นพิษออกมาแน่นอน ทั้งเทวดาและอสูรต่างก็ช่วยกันดึงเขามันทรคีรีเพื่อกวนทะเลน้ำนมอย่างเต็มกำลัง ในระหว่างที่พิธีกวนเกษียรสมุทรได้ดำเนินไปอย่างยาวนาน ภูเขามันทรคีรีก็เริ่มสั่นคลอนจากการที่ถูกแรงดึงเสียดสีมานาน พระวิษณุทราบความจึงรีบอวตารไปเป็น “เต่า กูรมาวตาร” (ซึ่งเป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์ จากนารายณ์สิบปาง) เพื่อหนุนก้นภูเขาให้ตั้งตรงดังเดิม ส่วนพญาวาสุกรีก็เหนื่อยล้าและเจ็บปวดจากการที่ถูกเสียดสี จึงได้อ้าปากคายพิษเป็นไฟกรดออกมา ส่งผลให้เหล่าอสูรโดนพิษของพญานาค (ในบางตำรากล่าวว่า ด้วยเหตุนี้อสูรจึงมีหน้าตาตะปุ่มตะป่ำ และมีผิวที่ไหม้เกรียม) มีครั้งหนึ่งที่พญาวาสุกรีเกิดอาการเจ็บปวดมากจึงได้คายพิษอันรุนแรงออกมา ซึ่งพิษในครั้งนี้จะสร้างความเดือดร้อนให้กับทั้งสามโลกได้ พระศิวะเมื่อทราบ จึงทรงรีบมาอ้าพระโอษฐ์เพื่อดูดกลืนพิษร้ายเข้าไปในพระอุระทันที เป็นเหตุให้พระศอของท่านไหม้เกรียมจนเป็นสีดำดังนิล จากเหตุนี้พระศิวะจึงมีอีกพระนามว่า “นิลกัณฐ์” (อันแปลว่า ผู้มีคอดำ)

วันเวลาผ่านไปเป็นพันปี พิธีกวนเกษียรสมุทรจึงสิ้นสุดลง ซึ่งในพิธีได้มีของวิเศษหลายอย่างเกิดขึ้น ได้แก่

พระจันทร์เสี้ยว (พระศิวะนำไปทัดเป็นปิ่น)

แก้วเกาสตุภะ (พระวิษณุนำไปเป็นเครื่องประดับพระองค์)

พระลักษมีเทวี (พระวิษณุนำไปเป็นพระชายา)

ช้างเผือกเอราวัณ (พระอินทร์นำไปเป็นพาหนะ)

ม้าขาวอุจไจศรพ (พระอินทร์นำไปเป็นพาหนะ แต่ในบางตำรากล่าวว่าพระอาทิตย์นำไปเป็นพาหนะ)

ต้นปาริชาติ (เชื่อกันว่ามีสรรพคุณทำให้ผู้ได้ดมดอกปาริชาติ สามารถระลึกชาติได้)

โคสุรภี หรือ กามเธนุ (เป็นโควิเศษสามารถบันดาลอะไรได้ตามต้องการ)

หริธนู (ธนูที่ยิงไปไม่มีวันพลาดเป้า)

สังข์ (สังข์จึงกลายเป็นสิ่งมงคลในศาสนาพราหมณ์)

นางอัปสร ๓๕ ล้านตน (อัปสร แปลว่า ผู้แหวกว่ายในน้ำ เหล่านางอัปสรที่พบในปราสาทนครวัดนั้นก็มาจากตำนานกวนเกษียรสมุทร)

นางวารุณี เทวีแห่งสุรา
พิษร้ายที่ผุดออกมาจากพิธี ซึ่งไม่มีเทพหรืออสูรรับไว้ มีแต่พวกเหล่าอสรพิษเข้ามารับไว้ครอบครอง
ธันวันตริ ผู้เป็นแพทย์แห่งสวรรค์ ผุดขึ้นมาพร้อมกับหม้อน้ำทิพย์อมฤต

ฯลฯ......................

พญานาคราช

#บารมีพญานาคราชธรรมะแห่งศรัทธา



สงครามนาคแม่น้ำโขง รบกับ นาคภูเขา

"สงครามพญานาค"



หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าโคกมน บ.โคกมน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย ได้เล่าเรื่อง "สงครามพญานาค" โดยมี พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท เป็นผู้จดบันทึกไว้ เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ โดยมีเรื่องพญานาคเรื่องหนึ่ง ที่หลวงปู่ชอบ ฐานสโม เล่าให้ฟัง เป็นเรื่องพญานาคที่แปลกกว่าทุกเรื่อง ส่วนมากถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพญานาค หลวงปู่ท่านจะบอกพญานาคที่นั่นที่นี่มาขอฟังธรรมกับท่าน พญานาคจำแลงร่างเป็นมนุษย์มาใส่บาตรให้กับท่านหรือพญานาคอันธพาลมาแสดงเดชฤทธิ์กับท่าน​ เป็นต้น แต่เรื่องพญานาคที่หลวงปู่เล่าให้ฟังตอนนี้​ เป็นเรื่องของพญานาคทำสงครามนาคายุทธกัน ซึ่งเป็นเรื่องพญานาคที่ประหลาดกว่าทุกเรื่องที่หลวงปู่ชอบท่านเล่าให้ฟัง..

ท่านบอกเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี  ๒๕๐๘... ซึ่งเป็นปีแรกที่หลวงปู่ชอบมาสร้าง "วัดป่าม่วงไข่" บ้านม่วงไข่ ตำบลสานตม อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ท่านว่า​ สมัยสร้างวัดป่าม่วงไข่ใหม่ๆนั้น พระเณรเวลาสรงน้ำตักน้ำจะต้องพากันเดินลงเขาทางด้านหลังศาลาหลังเก่าของวัดป่าม่วงไข่ ทางลงไปจะลึกลาดชันเวลาขึ้นลงแต่ละครั้งพระเณรต้องอาศัยเกาะกิ่งไผ่ลงไป ถ้าเผลอเรอเมื่อไหร่เป็นได้กลิ้งกะโค่โร่ลงไปข้างล่างทันที..

หลวงปู่ชอบเห็นถึงความลำบากของลูกศิษย์ เวลาลงไปตักน้ำท่านจึงบอกพ่อเชียงหมุนให้มาตัดต้นไผ่เพื่อทำทางลงไปสรงน้ำให้กับพระเณร ราวสองทุ่มคืนเดียวกันขณะหลวงปู่ชอบท่านกำลังจะไหว้พระสวดมนต์อยู่ที่กุฏิ ท่านได้ยินเสียงคนพูดคุยกันผ่านกุฏิของท่านไปทางด้านหน้าวัด ท่านคิดในใจว่าค่ำมืดตืดตาป่านนี้แล้วยังจะมีโยมมาวัดอยู่อีกหรือ เสียงพูดกันก็ดังคึกคะนองแบบคนหนุ่ม ท่านจึงกำหนดดูถึงที่มาของต้นเสียง ท่านเห็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบต้นๆหกคนเดินคุยกันไปทางหน้าวัดป่าม่วงไข่ ชายหกคนนี้คุยกันว่าจะไปเที่ยวเล่นจีบสาวนาคีที่เมืองเชียงคาน ท่านจึงรู้ว่าชายหนุ่มกลุ่มนี้เป็นลูกหลานของพญานาคภูผาหมานจำแลงร่างขึ้นมาเที่ยวเล่นจีบสาวนาคีแม่น้ำโขง ..

หลังจากนาคาหนุ่มกลุ่มนี้ไปแล้ว ท่านก็นั่งไหว้พระสวดมนต์อยู่ที่กุฏิ ขณะที่หลวงปู่ชอบท่านกำลังสวดมนต์บทเมตตายังกิญจิฯ อยู่นั้น ท่านได้ยินเสียงคนไล่ตีกันดังลั่นมาจากทางหน้าวัด ท่านจึงหยุดสวดมนต์กำหนดดูเหตุการณ์ ท่านเห็นชายหนุ่มกลุ่มใหญ่ไล่ตีชายหนุ่มหกคนที่ท่านเห็นเมื่อตอนหัวคืน ชายหนุ่มทั้งหกวิ่งผ่านกุฏิท่านไป แล้วกระโดดลงเขาหายเข้าไปในบ่อน้ำซับหลังศาลาเก่าของวัดป่าม่วงไข่ ฝ่ายชายหนุ่มกลุ่มใหญ่ที่ไล่ตีกันมาพอเห็นหลวงปู่ชอบ พวกเขาจึงพากันหยุดไล่ร้องบอกกันว่า "พระ ๆ" ทุกอย่างที่พญานาคแสดงออกในขณะนั้น ท่านบอกเหมือนกันกับมนุษย์เราทุกอย่างเลย..

หลวงปู่ถามพญานาคหนุ่มกลุ่มนี้ว่า  "เพราะอะไรถึงต้องได้ไล่ทำร้ายกันเข้ามาในวัดซึ่งเป็นเขตธรณีอภัยทาน" 

พญานาคหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าบอกท่านว่า "พวกพญานาคกลุ่มที่นี่ไปเที่ยวเล่นที่บ้านเมืองของพวกตน แล้วมีเรื่องผิดใจกัน จึงต้องไล่ทำร้ายกันมาถึงที่นี่ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นวัดวาพระศาสนา แต่ไหนแต่ไรพวกข้าพเจ้าไปมาหาสู่กันก็ไม่เห็นว่าที่นี่เป็นวัดวาศาสนามาก่อนเลย .."

หลวงปู่จึงบอกพญานาคหนุ่มกลุ่มนี้...ให้กลับไปบ้านเมืองของตนเองเสียอย่ามาเบียดเบียนกันที่ในวัดวาศาสนาเลย พวกพญานาคหนุ่มกลุ่มนี้จึงพากันลาองค์ท่านกลับไปยังบ้านเมืองของตน ท่านว่าเวลาที่พญานาคหนุ่มกลุ่มนี้ลาจากไปพวกเขาพากันจมหายลงไปในธรณีทันที เหมือนกับว่าดินผาหน้าภูที่นี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการไปการมาของพวกเขาเลย..

ผู้บันทึกกับหมู่เพื่อนที่นั่งฟังหลวงปู่ชอบเล่าพากันแปลกประหลาดใจว่า ทำไมพญานาคซึ่งเป็นเทพเทวดาประเภทหนึ่งจึงมีประพฤติบางอย่างที่คล้ายกันกับมนุษย์เรา..

หลวงปู่ชอบท่านว่า... "พญานาคถึงจะเป็นภูมิเทพเทวดา เขาก็มาจากมนุษย์เรามีกิเลสรักโลภโกรธหลงเหมือนกันกับมนุษย์เรา ถ้าไม่พอใจกันขึ้นมาก็โกรธาเกรี้ยวกราดทำร้ายกันเหมือนกับมนุษย์เรา ต่างแต่พวกพญานาคเทพเทวดาเขาจะไม่ทำร้ายกันถึงขั้นหมายเอาชีวิตเหมือนกับมนุษย์เรา พวกพญานาคเทพเทวดาเขาจะสู้กันพอรู้ฤทธิ์แล้วก็เลิกรากันไป.."

การให้อภัยกันของภพภูมิเทพเทวดาเขาจะให้อภัยกันง่ายกว่ามนุษย์เรา เพราะพวกเขามีเทวธรรม "หิริโอตัปปะ" ความละอายแก่ใจ ความเกรงกลัวต่อบาปกรรม ของเทพเทวดาเขาจะมีมากกว่ามนุษย์..

ถ้าจิตใจไม่มีเทวธรรมสองอย่างนี้เป็นเครื่องถือครองแล้ว บุคคลนั้นจะเกิดเป็นเทพเทวดาไม่ได้เลย ถึงแม้เกิดเป็นมนุษย์ก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ผู้ที่มีความบกพร่องในสติปัญญาและร่างกาย ..

ท่านเล่าให้ฟังต่อว่า หลังจากพญานาคหนุ่มกลุ่มนี้จากไปไม่นาน ท่านได้ยินเสียงดังโหวกเหวกอึงคะนึงไปทั่วบริเวณวัดป่าม่วงไข่ ท่านเห็นพญานาคพากันจัดเตรียมทัพมีช้างม้าไพร่พลถืออาวุธครบมือเหมือนกับทหารศึกในสมัยโบราณ ท่านว่าทุกอย่างเหมือนกับคนเราเวลาเตรียมทัพออกศึกไม่มีผิดเพี้ยนกันเลย..

หลวงปู่ถามพญานาคผู้เป็นแม่ทัพนายกองว่า "จะพากันไปออกศึกออกเสือที่ไหนถึงได้แต่งทัพใหญ่โตมโหฬารถึงปานนี้"

แม่ทัพใหญ่พญานาคบอกท่านว่า "พวกข้าพเจ้าจะไปรบกับพวกพญานาคแม่น้ำโขง พญานาคพวกนี้มาหยามหมิ่นรังแกลูกหลานของพวกข้าพเจ้า.."

หลวงปู่ท่านบอก "อย่าไปเบียดเบียนกันเลยมันจะเป็นบาปเวรต่อกัน"

แต่พญานาคใหญ่ผู้เป็นแม่ทัพนายกองไม่ฟังคำที่ท่านทัดทาน เขายืนกรานที่จะออกรบตามมานะศักดิ์ศรีที่เขาถือ เมื่อพญานาคผู้เป็นใหญ่ไม่เอาคำท่านจึงบอกเขาว่า "ถ้าจะไปรบกันแล้วอาตมาขอให้โยมทำทางลงไปสรงน้ำให้พระเณรได้ไหม จะเป็นการถวายความสะดวกให้กับพระเณรผู้ที่ท่านพักอาศัยอยู่ในอาวาสนี้ อาตมาอยากให้ท่านแสดงฤทธิ์ไว้เป็นหลักฐานให้พระเณรผู้ไม่รู้ได้เห็นว่าที่นี่มีพญานาคอาศัยอยู่ .."

พอท่านบอกพญานาคใหญ่ผู้เป็นหัวหน้า ให้เขาทำทางลงไปตักน้ำให้พระเณร ท่านว่า พญานาคเจ้าจอมทัพดันภูเขาทีเดียวดินที่อยู่บนภูเขาไหลลงไปเป็นร่องทันที ต้นไม้ต้นไผ่พังทลายลงไปกองอยู่ใต้ภูเขายิ่งกว่าใช้รถเกรดรถไถดันลงไป หลวงปู่ท่านว่าพวกพญานาคนี้มีฤทธิ์แรงมากเกินประมาณได้ การกระทำด้วยฤทธิ์เดชของเขาจึงง่ายดายไม่ต่างอะไรกับคนเราพลิกฝ่ามือ..

เมื่อพญานาคใหญ่ภูผาหมาน...พังภูเขาทำทางลงไปตักน้ำให้พระเณรแล้ว เขาก็ลาท่านไปรบกับ "อิสโรนาคราช" ราชันย์นาคาแม่น้ำโขงเมืองเชียงคานที่มีวิมานเมืองบาดาลอยู่ห่างจากปาก "แม่น้ำเลย" ไหลลงตกแม่น้ำโขงที่ "บ้านคกมาด" สี่ร้อยเมตร..

หลวงปู่ชอบดูเหตุการณ์พญานาคทำนาคายุทธกันจนถึงตีสองทุกอย่างจึงยุติศึก ท่านเห็นไพร่พลทหารพญานาคภูผาหมานแตกทัพหนีเข้ามาทางวัดป่าม่วงไข่อย่างอลหม่าน พอมาถึงบ่อน้ำซับหลังศาลาวัดป่าม่วงไข่ทหารพญานาคพากันหายลงไปในบ่อน้ำซับแห่งนี้ทันที พวกทหารพญานาคอีกฝ่ายหนึ่งก็ไล่ตามกันมา ผู้ที่เป็นหัวหน้าแม่ทัพใหญ่ "อิสโรนาคราช" เห็นหลวงปู่ชอบอยู่ที่นี่เขาจึงบอกไพร่พลให้หยุดทัพ..

ท่านถาม "อิสโรนาคราช" เพราะเหตุอะไรพวกท่านถึงต้องมารบทัพจับศึกกัน

อิสโรนาคราชพญานาคแม่น้ำโขงเมืองเชียงคานบอกท่านว่า "พวกลูกหลานพญานาคเมืองนี้ ไปมีเหตุวิวาทกับลูกหลานของพวกข้าพเจ้า เจ้าเมืองพญานาคที่นี่ไม่พอใจจึงยกทัพไปท้ารบประลองฤทธิ์กับพวกข้าพเจ้าถึงบ้านเมือง.."

หลวงปู่ชอบท่านถามพญานาคอิสโรว่า "พญานาคเขามีการรบทัพจับศึกเหมือนกันกับมนุษย์หรือ?"

อิสโรนาคราชตอบท่านว่า "พญานาคก็เหมือนกันกับมนุษย์ เมื่อมีเรื่องราวเจรจาความกันไม่ได้ก็ต้องใช้กำลังต่อสู้กันเพื่อให้รู้แพ้ชนะ แต่ไม่ถึงขั้นทำลายล้างกันเหมือนกับพวกมนุษย์ พวกข้าพเจ้าจะต่อสู้กันพอรู้แพ้ชนะเท่านั้นจะไม่ทำอะไรเกินเลยให้กันมากไปกว่านี้.."

หลวงปู่ชอบบอก "เมื่อรู้แพ้รู้ชนะกันแล้วก็ไม่ต้องมาต่อสู้อะไรกันอีก "พวกท่านเป็นเทวฤทธิ์มีเดชมาก การต่อสู้ของพวกท่านจะทำให้มนุษย์และสัตว์ที่อาศัยอยู่ที่นี่ จะได้รับอันตรายเดือดร้อนจากการสู้รบของพวกท่านได้ อาตมาขอให้ท่านทั้งสองจงเว้นปล่อยวางในเรื่องนี้เสีย"

อิสโรนาคราชพญานาคแม่น้ำโขงโอนอ่อนยอมในคำขอขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ จึงถอนทัพลาองค์ท่านกลับไปยังบ้านเมืองของเขา..

รุ่งเช้าก่อนที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบ จะออกไปบิณฑบาตที่บ้านม่วงไข่ ท่านเดินไปดูทางพญานาคดันภูเขาเมื่อคืนที่ผ่านมา ท่านเห็นทางที่พญานาคดันเขาพังดินลงไปเป็นทางกว้างประมาณหนึ่งวา ต้นไม้ต้นไผ่ตามสายทางพังระนาวกราวรูดไม่ต่างอะไรกับเอารถไถวิ่งดันลงไป เมื่อสำรวจตรวจดูสถานที่โดยทั่วแล้ว องค์ท่านจึงเดินมาศาลาเพื่อพาพระเณรออกไปบิณฑบาตที่บ้านม่วงไข่..

(บันทึกต่อท้าย) ผู้บันทึกเรียนถาม "หลวงปู่คำผอง กุสลธโร" เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ผาแด่น ตำบลสันป่ายาง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ที่ท่านอยู่ปฏิบัติ กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ที่บ้านม่วงไข่ในตอนนั้น..

หลวงปู่คำผองบอกว่าหลวงปู่ชอบบอก  "ท่านคำผองต่อไปนี้พวกท่านลงไปตักน้ำสบายขึ้นกว่าเก่าแล้ว พญานาคทำทางให้พวกท่านแล้ว เมื่อคืนพวกพญานาคที่นี่ไปออกสงครามกับพวกพญานาคแม่น้ำโขงเชียงคาน หลวงปู่ชอบท่านบอกผมกับทิดม่อยบ้านวังม่วงไปดูทางที่พญานาคพังดินลงจากภูเขา พวกผมได้อาศัยทางพญานาคนี่แหละลงไปตักน้ำ พระเณรอยู่นั่นลงไปตักน้ำสบายขึ้น เพราะทางสงครามพญานาค เรื่องแบบนี้ตาบอดอย่างพวกเรามองไม่เห็นเหมือนท่านหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบจิตท่านเป็นทิพย์พิสุทธิ์ จึงมองเห็นทั้งหมดทุกเรื่อง หลวงปู่ท่านให้พญานาคทำทางเพราะท่านอยากให้พระเณรได้เห็น เป็นหลักฐานของเรื่องนี้ ถ้าไม่เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่รู้ที่มาของเรื่องนี้เลย.."

หลวงปู่คำผองท่านเล่าต่อถึงเรื่องที่ท่านไปอยู่ปฏิบัติกับครูบาอาจารย์แต่ละองค์ท่านบอกครูบาอาจารย์แต่ละองค์ก็มีบารมีภายนอกภายในแตกต่างกัน แต่กับ "หลวงปู่ชอบ" ท่านบอกบารมีภายในเรื่องลึกลับที่เกี่ยวกับ "เทพเทวดาพญานาคและฤทธิ์อภิญญา" หลวงปู่ชอบท่าน จะเด่นมากในเรื่องแบบนี้..

ข้อมูลจาก ธัมมวิชชา ภิกษุณี

#บารมีพญานาคราชธรรมะแห่งศรัทธา

พญานาคมีกี่แบบ มีกี่สายพันธุ์

~พญานาคคืออะไร

ข้อมูลจากเวบ พลังจิต
Palungjit.org


มักมีการตั้งคำถามว่าพญานาคคืออะไร ทำไมเรื่องของพญานาคถึงมีมากแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แถวๆ ไทย ลาว กัมพูชา พม่า โดยเฉพาะประเทศไทย มีคนสนใจพญานาคกันมากจริงๆ นะคะ งั้นลองมาอ่านกันดูดีกว่าค่ะ

พญานาคตามวรรณคดีนั้นคืออมนุษย์พวกหนึ่งเป็นกึ่งเทพกึ่งสัตว์ เป็นเจ้าแห่งงูอยู่ในบาดาล คือใต้แผ่นดินที่เรา อาศัยอยู่ลึกลงไป รูปร่างโดยทั่วไปเป็นงูใหญ่ แต่มีเกล็ดและมีหงอนงาม มาก พญานาคนั้นเป็นโอรสของพระกัสยปเทพบิดร (ซึ่งเป็นโอรสของพระพรหมอีกทีหนึ่ง) กับ นางกัทรุ (ธิดาของพระทักษะประชาบดี)

เมื่อกำเนิดมามารดาได้คลอดบุตรออกมาเป็นไข่ ๑,๐๐๐ ฟองและ ๕๐๐ ปี ต่อมาก็แตกออกมาเป็นพญานาคนี้ทั้งหมด ซึ่งเมื่อกล่าวถึง นาคแล้วก็อดไม่ได้ที่จะต้องกล่าวถึงเรื่องครุฑแทรกเข้ามาด้วย คือในขณะเดียวกันกับพวกนา จะเกิดขึ้นนี้ พระกัสยปเทพบิดรมีชายาอีกนางหนึ่งคือนางวินตา

ซึ่งคาดว่าจะมีเรื่องระหอง ระแหง กับนางกัทรุมารดาของพวก นาคทั้งที่เป็นพี่น้องกัน สาเหตุ นั้นคือเมื่อนางกัทรุตั้งครรภ์ นางขอพรพระกัสยปให้มีโอรสที่มีฤทธิ์หนึ่งพัน พระกัสยป ผู้เป็นพระสวามีก็ให้พรตามที่นางขอ นางวินตาเห็นดังนั้นก็ขอพรบ้างแต่ขอให้มีโอรสเพียง ๒ องค์ แต่ให้มีฤทธิ์อำนาจเหนือกว่า โอรสของนางกัทรุ

ดังนั้นเพียงแคขอพรก็เห็นได้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่อง เพราะใครคงไม่อยาก ให้ลูกคนอื่นดีกว่าลูกตนเอง แต่ยังก่อนจนกระทั่งเวลาผ่านไป ๕๐๐ ปี นางทั้งสองต่าง ก็คลอดโอรส โดยนางกัทรุคลอดออกมาเป็นนาคทั้งหมดส่วนนางวินตาคลอดโอรสออกมา เป็น ไข่ ๒ ฟอง แต่ยังไม่แตกออกมา

นางร้อนใจจึงรีบทุบไข่ ฟองหนึ่งออกมา ผลปรากฏว่าไข่ ฟองแรก ของนางเกิดเป็นพระอรุณเทพบุตร มีรูปร่างใหญ่โต แต่มีร่างเพียงครึ่งเดียวเพราะเกิดก่อนกำหนด พระอรุณโกรธแม่มากเลยสาปให้นางวินตาต้องเป็นทาสนางกัทรุ ๕๐๐ ปีจน กว่าโอรสองค์ที่สองคือครุฑจะถือกำเนิดแล้วจะมาปลดปล่อยให้เป็นไท

ส่วนตนเองก็เหาะขึ้นฟ้า ไปเป็นสารถีให้พระอาทิตย์ ต่อมานางกัทรุกับนางวินตาเกิดพนันขันต่อกันขึ้นว่า ม้าเทียมรถพระอาทิตย์คือม้าอุจไฉสรพะมีสีอะไรนางวินตา ว่ามีสีขาวส่วนนางกัทรุว่ามีสีดำ ซึ่งความจริงม้านั้นมีสีขาวทั้งตัว นางกัทรุในตอนหลังทราบว่า ม้าเทียมรถพระอาทิตย์มีสีขาวกกลัวจะแพ้พนัน เลยให้นาคที่เป็นโอรสไปพ่นพิษใส่จนกลาย เป็นสีดำ

หรือบางตำราก็ว่าให้นาคแปลงตัวไปแทรกขนม้าจนกลายเป็นขนสีดำ พอเช้ามานาง วินตาก็ต้องแพ้พนันไปตามระเบียบต้องยอมตัวเป็นทาสตามเดิมพันจวบจน ๕๐๐ ปี ให้หลัง ครุฑจึงเกิดมาเป็นพญานกมีฤทธิ์มาก เห็นแม่เป็นทาสก็เลยหาทางช่วยโดยไปต่อรองกับ พวกนาคว่าจะขโมยน้ำอมฤตมาให้พวกนาคดื่มเพื่อจะได้เป็นอมตะ ซึ่งครุฑก็ขโมยมาจาก พระอินทร์ได้สำเร็จ

่ถึงแม้พวกเทวดาตามมาแย่งคืนก็สู้ครุฑไม่ได้ จนถึงพระนารายณ์มารบก็เพียง เสมอกัน จึงมีข้อตกลงกันว่าเวลานั่งครุฑจะนั่งสูงกว่าพระนารายณ์แต่ถ้า พระนารายณ์จะเสด็จไปไหน ครุฑจะต้องเป็นพาหนะ และพระนารายณ์ให้พรครุฑให้เป็นอมตะแม้ไม่ได้ดื่มน้ำอมฤตทั้งยัง ได้กินพวกนาคเป็นอาหารด้วย

หลังจากนั้นเมื่อครุฑนำน้ำอมฤตมาให้พวกนาค ๆ ก็ได้ปล่อย นางวินตาให้เป็นไทส่วนน้ำอมฤตวางไว้บนหญ้าคา แถมครุฑยังลวงให้พวกนาคไปชำระ ร่างกายให้สะอาดก่อนดื่ม ซึ่งพระอินทร์ได้ฉกฉวยจังหวะนั้นนำคณโฑน้ำอมฤตกลับไปได้ (โดยแอบตกลงกับครุฑไว้ก่อน)

ส่วนพวกนาค เมื่อน้ำอมฤตหายไปก็เสียดายนัก จึงไปเลีย ตามหญ้าคานั้น ใบหญ้าคมก็บาดลิ้นนาคเป็น ๒ แฉก งูจึงมีลิ้น ๒ แฉกตลอดมา ฝ่ายครุฑ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจช่วยแม่สำเร็จก็เริ่มปฏิบัติการจองเวรจับนาคมาเป็นอาหาร ครุฑกับนาค จึงเป็นศัตรูกันเรื่อยมานับแต่นั้น

ประเภทของพญานาค

พญานาคสามารถแบ่งได้หลายประเภทตามแต่จะแบ่งเช่นหน้าที่พิษ การกำเนิด ซึ่งคัมภีร์ทางพุทธศาสนาได้ แบ่งพญานาคออกอย่างละเอียดได้ถึง ๑,๐๒๔ ชนิด ในหนังสือ ปรมัตถโชติกะ มหาอภิธัมมัตถสังคหฎีกา ปริจเฉทที่ ๕ ได้จัดหมวดหมู่ของพญานาคไว้ดังนี้

พญานาคมี ๔ ประเภทคือ

๑. กฏฐมุข พญานาคที่มีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วร่างกายผู้นั้นจะแข็งไปหมดทั้งตัว อวัยวะต่าง ๆ เช่นแขนจะงอเข้าและยืดออกไม่ได้และปวดมาก

๒. ปูติมุข พญานาคที่มีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วรอยแผลที่ถูกกัดนั้นจะเน่าและมีน้ำเหลืองไหลออกมา

๓. อคคิมุข พญานาคที่มีพิษชนิดหนึ่งถ้ากัดผู้ใดแล้วจะเกิดความร้อนไปทั่วทั้งตัว และรอย แผล ที่ ถูก กัดนั้นเป็นรอยริ้ว คล้ายกับถูกไฟไหม้

๔. สตถมุข พญานาคที่มีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วผู้นั้นก็เหมือนกับถูกฟ้าผ่า

ในบรรดาพญานาคทั้ง ๔ ประเภทนี้ พญานาคที่มีพิษประเภทหนึ่งๆ ก็มีวิธีทำ
อันตรายได้ ๔ วิธีคือ

๑. ทัฏฐวิสาพญานาค ถ้ากัดแล้วก็เกิดพิษซ่านไปทั่วทั้งตัว

๒. ทิฏฐวิสพญานาค ใช้มองดูแล้วพ่นพิษออกทางตา

๓. ผุฏวิสพญานาค มีพิษทั่วไปที่ร่างกาย ใช้ร่างกายกระทบก็เกิดเป็นพิษซ่านออกมาได้

๔. วาตวิสพญานาค ใช้ลมหายใจพ่นเป็นพิษ และพิษอันนี้สามารถแผ่ซ่าน ไปได้

พญานาคประเภทหนึ่ง ๆ จากพิษ ๔ ประเภทข้างต้น ก็มีวิธีทำอันตรายได้ประเภทละ ๔ ชนิด รวมพญานาค ๔ ประเภททั้งพิษทั้งวิธีทำอันตรายแบ่งได้เป็น ๑๖ ชนิด เมื่อแบ่งตามวิธีที่จะทำอันตรายได้ทั้ง ๑๖ ชนิดนี้แล้ว

ชนิดหนึ่ง ๆ ก็แบ่งตามการแพร่กระจายของพิษได้อีก เป็น ๔ ชนิดคือ

๑. อาคตวิส น โฆรวิส มีพิษ แผ่ซ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่รุนแรง

๒. โฆรวิส น อาคตวิส มีพิษ แรงมาก แต่พิษนั้นแผ่ออกไปอย่างช้า ๆ

๓. อาคตวิส โฆรวิส มีพิษแผ่ซ่านไปอย่างรวดเร็วและแรงมาก

๔. น อาคตวิส น โฆรวิส มีพิษแผ่ออกไปช้าและไม่แรง

รวมเป็นทั้งพิษวิธีการทำอันตราย และการแพร่กระจายของพิษได้เป็น ๖๔ ชนิด และในบรรดา ๖๔ ชนิดนี้

ชนิดหนึ่ง ๆ แบ่งได้เป็น ๔ ชนิด ตามการเกิดคือ

๑. อัณฑชะพญานาค พญานาค ที่เกิดในไข่

๒. ชลาพุชะพญานาค พญานาค ที่เกิดในครรภ์

๓. สังเสทชะพญานาค พญานาค ที่เกิดจากเหงื่อไคล

๔.โอปปาติกะพญานาค พญานาคที่พอเกิดมาก็ตัวใหญ่โตเต็มวัยเลยทีเดียว

รวมเป็น พญานาค ๒๕๖ ชนิด และในบรรดาพญานาค ๒๕๖ ชนิดนี้ ชนิดหนึ่ง ๆ ยังแบ่งออกได้เป็น ๒ ชนิดตามแหล่งกำเนิด คือ

เมื่อรวมการแบ่งตามแหล่งกำเนิดด้วยแล้วจะเป็นพญานาค ๕๑๒ ชนิด และในพญานาค ๕๑๒ ชนิดนี้ ชนิดหนึ่ง ๆ ยังแบ่งออกได้เป็น ๒ ชนิดคือ

๑. กามรูปีพญานาค พญานาค ที่เสวยกามคุณ (ยังเสพกามอยู่)

๒. อกามรูปีพญานาค พญานาค ที่ไม่เสวยกามคุณ (ไม่เสพกาม)

รวมเป็นพญานาคทั้งสิ้น ๑,๐๒๔ ชนิด ตามที่อธิบายถึงพญานาคมี ๑,๐๒๔ ชนิดนี้ มีมาในขันธวัคคสังยุตตอัฎฐากถา นาควัคค

นอกจากนี้ยังแบ่งพญานาคได้ตามหน้าที่ดังนี้

๑. นาคสวรรค์ มีหน้าที่เฝ้าวิมานเทวดา

๒. นาคกลางหาว มีหน้าที่ให้ลม ให้ฝน (คงเป็นนาคประเภทนี้ที่คอยให้น้ำ)

๓. นาคโลกบาล มีหน้าที่รักษาแม่น้ำลำธาร

๔. นาครักษาขุมทรัพย์
พญานาคที่มีฤทธิ์มากนั้นสามารถเนรมิตตนให้เป็นคนได้แต่ถึงแม้จะ เนรมิตตนให้เป็นคนได้ นั้นก็ยังมีลักษณะอาการ

๕ อย่างที่มีประจำตัวอยู่นั้นไม่สามารถจะทำให้หายไปได้ คงปรากฏขึ้นตามปกติธรรมดาของพญานาคนั้นเอง



ลักษณะอาการ ๕ อย่างนั้นคือ

๑. ในขณะปฏิสนธิ (เกิด) ต้องปรากฏรูปร่างสัณฐานเป็นพญานาค

๒. ในขณะกำลังลอกคราบอยู่ รูปร่างสัณฐานก็คงปรากฏเป็นพญานาค อยู่ตามเดิม

๓. ในขณะเสพเมถุนอยู่กับพญานาคด้วยกัน รูปร่างก็คงเป็นพญานาค

๔.ในขณะนอนหลับนั้นถ้าหากเวลาใดนอนหลับไปโดยปราศจากสติ ขณะนั้นร่างกายก็กลับเป็นพญานาคขึ้นมา

๕.ในขณะตายก็ต้องปรากฏร่างเป็นพญานาค

ซึ่งตามข้อ ๔. นั้นเคยมีเรื่องปรากฏว่าในสมัยพุทธกาลมีพญานาคตนหนึ่ง มีจิตศรัทธาใน พระพุทธศาสนาได้เนรมิตตนเป็นมนุษย์ มาบวชเป็นพระภิกษุได้สำเร็จ

อยู่ต่อมาในวันหนึ่งเกิด นอนหลับร่างกายก็กลับเป็นพญานาคตามเดิม พระภิกษุรูปอื่นมาเห็นเป็นงูใหญ่ห่มจีวรอยู่ จึงเกิด เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา ในที่สุดจึงมีพระพุทธฎีกาห้ามมิให้สัตว์ดิรัจฉานได้บวชในพระพุทธศาสนา

พญานาคนั้นมีความอาลัยจึงทูลขอให้ฝากชื่อ "นาค" ไว้ให้แก่กุลบุตรผู้ที่จะบวชนัยว่าเพื่อไว ้แทนตนที่จะไม่ได้ บวชต่อไป

ในเรื่องอายุของพญานาคก็ไม่แน่นอนบางตนก็อายุสั้น บางตนก็อายุยืนพวกที่อายุยืนถึงแม้ พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลกนี้ถึง ๕ พระองค์ พญานาคก็ยังคงมีอายุต่อไปได้

เช่น พญานาคตนหนึ่ง ชื่อว่ากาละกาละพญานาคนี้มีอายุมาตั้งแต่ พระกกุสันธะจนถึงพระโคดมและมีอายุ ยืนต่อไปจนถึงพระศรีอริยเมตตรัย

(ในช่วงที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ๕ พระองค์นี้เรียก ว่าภัทรกัลป์ โดยพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์นั้น คือพระกกุสันธพุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า พระโคดมพุทธเจ้า และพระศรี อริยเมตตรัยพุทธเจ้า)

กล่าวถึงในตอนต้นนั้นว่าครุฑย่อมจับนาคกินเป็นอาหาร

แต่มีนาคที่ครุฑไม่สามารถจับเป็น อาหาร ได้มีอยู่ ๗ จำพวก คือ

๑. นาคอันมีกำเนิดประณีตกว่าครุฑ

๒. กัมพลัสตรนาคราช

๓. ธตรัฐนาคราช

๔. นาคอันอยู่ในสีทันดรสมุทรทั้งเจ็ด

๕. นาคอันอยู่ในแผ่นดิน

๖. นาคอันอยู่ในภูเขา

๗. นาคอันอยู่ในวิมาน

ตามธรรมดาแล้วนาคย่อมกลัวครุฑเฉพาะนาคตระกูลต่ำกว่านาคทั้ง ๗ จำพวกนี้ และขนาด ของพญานาคก็มีผลทำให้รอดจากปากครุฑ คือถ้าตัวโตใหญ่กว่าครุฑแล้วครุฑก็ไม่สามารถ จับมากินได้

ดังในไตรภูมิพระร่วงกล่าวว่า เมื่อครุฑราชเอานาคกินดังนั้น เอาแต่นาคอัน เท่าตน และน้อยกว่าตนและใหญ่กว่าตนนั้นก็เอากินบ่มิได้และ นอกจากนี้ยังกำหนดอีกว่าครุฑ สามารถจับนาคกินได้เฉพาะนาคที่มีกำเนิดเสมอกับตนและต่ำกว่าตนเท่านั้น

ไม่สามารถจับ นาคที่มีกำเนิดสูงกว่าตนได้ เช่น ครุฑที่มีกำเนิดแบบชลาพุชะ (เกิดในครรภ์) สามารถจับ ชลา พุชะพญานาคที่มีกำเนิดเสมอกับตนและอัณฑชะพญานาคที่มีกำเนิดต่ำกว่าตนเป็น อาหารได้ แต่ไม่สามารถจับพญานาคที่มีกำเนิดแบบสังเสทชะพญานาคและ โอปปาติกะพญานาค ซึ่งมีกำเนิดสูงกว่าตนเองได้

ชาดกกล่าวถึงความยาวเพียงอย่างเดียวดังนี้ มีพระยาสุบรรณ (อีกชื่อหนึ่งของพญาครุฑ) ตนหนึ่งจำแลงกายให้ใหญ่ประมาณได้ ๑๕๐ โยชน์

(โยชน์เป็นหน่วยวัดระยะทางโบราณ โดย ๑ โยชน์ เท่ากับ ๔๐๐ เส้น และ ๑ เส้น เท่ากับ ๒๐ วา ดังนั้น ๑ โยชน์จะเท่ากับ ๔๐๐ x ๒๐ = ๘,๐๐๐ วา)

กระพือปีกแหวกน้ำทำให้เป็นช่องลงไปในมหาสมุทร แล้วจับพญานาค มีกายยาวได้ ๑,๐๐๐ วาคือ ๕๐ เส้น โดยตอนหางให้สำรอกอาหารออกแล้วคาบพาบินมา โดยส่วน เบื้องบนแห่งป่าตรงมายังต้นโกฏสิมพลี (ต้นงิ้ว) ส่วนพญานาคเมื่อพระยาสุบรรณจับห้อยหัวอยู่นั้น

จึงดำริว่าเราจักเปลื้องตนให้พ้นอันตราย จึงกระหวัดรัดต้นไทรด้วยขนดกายให้มั่น ต้นไทรนั้นก็ถอนหลุดออกส่วนพญานาคนั้นก็มิได้ปล่อยต้นไทร สุบรรณก็จับพญานาค ทั้งต้นไทร บินไปถึงต้นงิ้ว แล้วให้พญานาคนอนอยู่ ณ หลังคาคบ จึงฉีกท้องออกกินเป็นอาหาร แล้วทิ้งซากศพลงในมหาสมุทร

ซึ่งถ้าพิจารณาถึงขนาดของครุฑกับนาคตามนี้แล้วจะเห็นว่า ขนาดต่างกันมาก คือครุฑ ตัวใหญ่ถึง ๑๕๐ โยชน์หรือ ๑๕๐ x ๔๐๐ x ๒๐ = ๑,๒๐๐,๐๐๐ วา เมื่อแปลงหน่วยเป็นเส้นคือ ๖๐,๐๐๐ เส้น ส่วนพญานาคยาวเพียง ๑,๐๐๐ วา หรือ ๕๐ เส้นเท่านั้น

(ดังนั้นนาคก็ต้องเป็นอาหารครุฑอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะขนาดต่างกันยิ่งกว่า เหยี่ยว โฉบหนอนเสียอีก แต่ถ้าครุฑตัวใหญ่ ๑๕๐ เส้นหรือ ๓,๐๐๐ วา แล้วพญานาคยาว ๑,๐๐๐ วา บางทีอาจสูสีพอฟัดพอเหวี่ยงกัน - ผู้เขียน)

ขนาดของพญานาคยังไม่ปรากฏขนาดที่แน่ชัด ในโกฏสิมพลี สาเหตุที่พญานาคมีพิษ ในลิลิต นารายณ์สิบปางกล่าวไว้ว่า เหตุที่พวกนาคมีพิษเพราะเมื่อคราวกวนน้ำอมฤตสิ่งที่ผุดขึ้นจาก สมุทร เป็นอันดับหกคือพิษ

ฝูงนาคได้พากันสูบไว้ นาคและงูจึงมีพิษสืบมา ดังโคลงที่ว่า

ที่หกพิษผุดขึ้นจากสมุทร ทวยเทพบ่อยากชิมอยากได้
แต่ฝูงนาคเร็วรุด รีบสูบ ไว้แฮ

งูจึ่งมีพิษไว้สืบมา ซึ่งพิษของพญานาคเป็นเช่นไร ก็ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว

สถานที่อยู่ของพญานาค โลกบาดาลซึ่งอยู่ใต้โลกมนุษย์ลงไปเป็นที่อยู่ของพวกนาคนั้นเรียก ว่านาคพิภพซึ่งตั้งอยู่ ณ ท่ามกลางมหาสมุทรนั้นเป็นช่องแผ่นดิน มีลักษณะต่าง ๆ กัน กว้างใหญ่ประมาณ ๑๐๐ โยชน์บ้าง ๓๐๐ โยชน์บ้าง ๕๐๐ โยชน์บ้าง

เป็นแผ่นดินเสมอกันทุกแห่ง เลื่อมขาวงามเหมือนแผ่นเงิน มีหญ้าแพรกเขียวมันสูง๔ นิ้วมือ เขียวงาม ๓ นิ้วมือ งามดังแผ่นแก้วไพฑูรย์และดูรุ่งเรืองทั่ว แผ่นดินมีไม้ดอกไม้ผลงดงามตระการตามีปราสาท แก้วปราสาทเงินและปราสาททองงามนักหนา

ในไตรภูมิพระร่วงว่า ใต้เขาพระหิมพานต ์กว้างได้ ๕๐๐ โยชน์เป็นเมืองแห่งนาคราชจำพวกหนึ่ง มีแก้ว ๗ ประการ เป็นแผ่นดิน งดงามเหมือนไตรตรึงษ์

(อีกชื่อหนึ่งของดาวดึงส์อันเป็นสวรรค์ชั้นที่ ๒ ต่อจากจาตุมหาราชิกา โดยมีพระอินทร์เป็นเทพผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้)

แผ่นดินเหล่านี้ เกิดขึ้นตั้งแต่ปฐมกัลป์ มีอุทยาน และมีสระใหญ่ ๆ เป็นที่อยู่แห่งฝูงนาค มีแม่น้ำใหญ่เต็มไปด้วยน้ำอันใสสะอาด มีฝูงเต่าและปลาเป็นอันมาก แม่น้ำเหล่านี้เป็นที่เล่นของนาคราชทั้งหลายส่วนน้ำในสระอัน เป็นที่อยู่แห่งฝูงนาคนั้น ใสงามดุจแก้วแผ่นใหญ่ และมีท่าอันราบนักหนา มีดอกบัว ๕ ประการดูงามทุกแห่ง

ดอกบัวหลวงนั้นดอกใหญ่เท่ากงเกวียน เมื่อน้ำสะเทือนไหวไปมา ดูงามนักหนาดังแสร้งแต่งไว้ สำหรับนาคที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรเมื่อใกล้จะคลอดลูก เกรงว่าลูกที่จะเกิดใหม่ จะทนแรงคลื่นในมหาสมุทร กับลมปีกพญาครุฑคู่อาฆาตไม่ได้

ก็จะออกจากมหาสมุทร เดินทางมาคลอดลูกที่ป่าหิมพานต์แล้ว เลี้ยงลูกจนกว่าจะแข็งแรงพอจะ ตามแม่ออกมหาสมุทรได้แล้วจึงพาลูกออกมาสู่มหาสมุทรตามเดิม แต่ก่อนที่จะพาลูกนาคออกมานั้น นางนาคราชจะบันดาลให้เกิด ฝนตกหนักทั่วป่าหิมพานต์ ชนิดฝนห่าใหญ่จนน้ำท่วมนองไปหมด

แล้วจึงเนรมิตปราสาททองซึ่งภายในมีเครื่อง อยู่เครื่องกินเป็นทิพย์ทั้งสิ้น เหมือนวิมานเทวดา สำเร็จเสร็จการ ก็พาลูกนาคขึ้นไปอยู่ และพาลอยน้ำไปจนถึงมหาสมุทรที่ลึกได้ ๒,๐๐๐ วา

ก็พาปราสาทกับลูกดำลงไปอยู่ในมหาสมุทร ลูกนาคก็จะค่อย ๆ เติบโตขึ้น เรื่อย ๆ จนมีความยาวได้ ๑๐๐ วา และ ๑,๐๐๐ วา ตามลำดับจนในที่สุดก็โตเต็มท ี่สามารถอาศัยอยู่ได้ด้วยตัวเองในมหาสมุทร

สำหรับที่อยู่ของนาค โลกบาดาล ที่อยู่ใต้โลกมนุษย์นี้ตามคัมภีร์ปัทมะปุราณะกล่าวว่า มี ๗ ชั้นคือ

๑. อตล ผู้ครองชื่อ มหามายะ

๒.วิตล ผู้ครองชื่อ หาตะเกศวร เป็นภาคหนึ่งแห่งพระอิศวร

๓. สุตลผู้ครองชื่อพลีเป็นพญาแทตย์ (ยักษ์,อสูร) เคยบำเพ็ญตบะจนมีฤทธิ์ปราบพระอินทร์ และได้ครอง ๓ โลก (คือโลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และบาดาล)

ต่อมาถูกพระนารายณ์อวตาร เป็นพราหมณ์เตี้ยชื่อวามนไปปราบ โดยขอที่จากท้าวพลีเพียง ๓ ก้าว เมื่อท้าวพลียกให้ วามนสำแดงฤทธิ์ก้าวแรกเหยียบทั่วสวรรค์ ก้าวที่สองเหยียบทั่วโลกมนุษย์แล้วให้พระอินทร์ กลับมาครองสวรรค์ดังเดิม

ส่วนท้าวพลีถูกขับให้ไปอยู่บาดาล ต่อมากลับใจมากระทำยัญญะ กิจบูชาพระนารายณ์กับพระลักษมี พระองค์จึงอนุญาตให้ขึ้นมาอยู่แดนสุตล และมักถือกันว่า ท้าวพลีเป็นเจ้าที่ เรียกกันทั่วไปว่ากรุงพาลี

๔. ตลาตล ผู้ครองชื่อ มายะ

๕. มหาตล เป็นแดนที่อยู่ของงู

๖. รสาตล เป็นแดนที่อยู่ของแทตย์และทานพ (๒ พวกนี้เป็นอสูร ศัตรูของเทวดา)

๗. บาดาล เป็นที่อยู่ของนาค พระยาวาสุกีนาคราชเป็นราชาปกครอง

ตามที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าพญานาคนั้นมีที่มาหลายทางทั้งทางพุทธศาสนาและตาม ตำนานวรรณคดี ต่าง ๆ ซึ่งมักจะมีที่มาจากศาสนาพราหมณ์ และเห็นได้ชัดว่าพญานาค มีจำนวนมากถึงขนาด ตั้งบ้านเมืองได้ตรงกันทั้งทางพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์

ส่วนพญาครุฑ ถ้ากล่าวถึงในด้านชาดกทางพุทธศาสนาแล้วจะมีเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าพูดถึง พญาครุฑในศาสนาพราหมณ์แล้วจะมีเพียงตัวเดียวเท่านั้น ซึ่งทำให้เรื่องราวของพญานาค มีปรากฏแพร่หลายทั้งในด้านศาสนาและตำนานต่าง ๆ ค่อนข้างมาก

และมักจะเกี่ยวข้องกับความเชื่อในด้านดินฟ้าอากาศหรือน้ำอันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต มนุษย์โดยสะท้อนออก มาทั้งในรูปวรรณกรรม ตำนานและพิธีกรรมของแต่ละพื้นที่

http://www.navy.mi.th/navic/document/871111a.html


14 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 24 ดูรายการ
ลงโฆษณาของคุณตรงนี้
พุทธาวตาร
พุทธาวตาร
"อีกเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป..."
โอ้...แม่เจ้า ทำวิทยานิพนธ์ เรื่องพญานาคได้เลย
สุดยอดละเอียดจริงๆ

อนุโมทนา..สาธุ สำหรับความมุมานะการหาข้อมูลครับ
14 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 1 ดูรายการ
~:*พนมวัน*:~
~:*พนมวัน*:~
เป็นที่รู้จักกันดี
มีคนเคยทำสาระนิพนธ์เรื่องนาคจริงๆ ค่ะ

[​IMG]
14 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 5 ดูรายการ
~:*พนมวัน*:~
~:*พนมวัน*:~
เป็นที่รู้จักกันดี
คนบางคนอยากเป็นนาค แต่นาคส่วนใหญ่อยากเป็นคน

[​IMG]
14 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 7 ดูรายการ
Pompaka
Pompaka
เป็นที่รู้จักกันดี
ขอบคุณครับสำหรับสาระดีๆ...^_^

เผ่าพงษ์วงศ์นาคราชฤทธานุภาพจงเจริญ....
14 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 6 ดูรายการ
pk010209
pk010209
เป็นที่รู้จักกันดี
ชอบรูปของคุณระกาจันทร์จังขอ save ไว้นะคะ บทความดีมากๆเลยค่ะค่อนข้างละเอียดเลยทีเดียว:cool:
14 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 3 ดูรายการ
~:*พนมวัน*:~
~:*พนมวัน*:~
เป็นที่รู้จักกันดี
ตามสบายนะคะ รูปนาคนารีข้างบนดูลึกลับเหมือนกัน



มีเรื่องนาคที่มาปรากฏตัวให้คนเห็นมาฝากค่ะ

ยายพุ่มกับพญานาค

ความ เชื่อในเรื่องพญานาคที่ปรากฏนี้ เป็นความเชื่อที่แน่นแฟ้นไม่คลอนแคลน เช่นเดียวกับความเชื่อของชาวอุบลฯ ที่เชื่อว่ามีพญานันทนาคราชรักษาเมืองอุบลฯ โดยมีวังอยู่ในแม่น้ำมูลตรงบริเวณท่าน้ำวัดหลวง (ใกล้ตลาดใหญ่) จนถึงกับมีพิธีกรรมบูชาและประทับทรงพญานันทนาคราชที่วัดหลวงในวันออกพรรษา ทุกปี

เกี่ยวกับพญานาคในแม่น้ำมูล มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับยายพุ่ม (ไม่ทราบนามสกุล) ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ตัวยายพุ่มเองเป็นชาวลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลฯ ตั้งแต่ยังเป็นสาว ต่อมายายสว่าง พาศิริ ได้นำตัวยายพุ่มมาอยู่ด้วยกันที่เมืองอุบลฯ โดยเช่าบ้านอยู่ใกล้ท่าน้ำตลาดใหญ่ ซึ่งเวลานั้นคาดว่าจะเป็นช่วงเวลาราว ๆ พ.ศ. 2469-2470 โดยทั้งยายพุ่มและยายสว่างมีอายุได้ประมาณ 20 ปี

ครั้ง หนึ่งยายพุ่มลงไปอาบน้ำมูล ได้นำผ้าเปื้อนระดูของตนลงไปซักล้างด้วย ขณะที่กำลังยืนแช่น้ำขนาดหัวเข่าซักผ้าเปื้อนระดูอยู่นั้น เห็นงูสีเขียวลอยน้ำตรงเข้ามา แล้วมุดน้ำลงไปพันเกี้ยวรอบขาของยายพุ่ม ชูคอโผล่หัวพ้นน้ำขึ้นมาด้วยลักษณะเป็นงูมีหงอนสีทอง ลำตัวไม่ใหญ่มากแค่ประมาณท่อนแขนของยายพุ่มเอง

ยายพุ่มตกใจถึงกับ หงายหลังล้มลงไป งูสีเขียวหงอนทองก็ชูคออยู่ตรงหน้ายายพุ่มแล้วพูดออกมาเป็นเสียงมนุษย์ว่า “อย่าทำแบบนี้อีกนะ เพราะเห็นว่ามีความสัมพันธ์กับเรามาก่อนจึงจะไว้ชีวิต”

หลัง จากนี้นมายายพุ่มก็เปลี่ยนไป กลายเป็นคนถือศีลปฏิบัติธรรม และไม่อาบน้ำเลยจนกว่าจะถึงวันพระ คือ อาบน้ำเฉพาะวันพระเท่านั้น และจะมาอาบตรงท่าน้ำที่ยายพุ่มพบงูมีหงอนสีทอง ลำตัวเขียว จนตลอดชีวิต

จาก เหตุการณ์นั้น ยายพุ่มยังได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนอีกอย่างหนึ่งคือ กลายเป็นคนพูดอะไรออกมาแล้วจะเป็นจริงตามพูดทุกอย่าง ไม่ว่าจะพูดเรื่องอดีตหรืออนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตนเองหรือของคนอื่น บอกได้แม้ว่าใครจะตายเวลาไหน ด้วยเหตุอะไร คือพยากรณ์อะไรก็ถูกต้องไปหมดจนเป็นที่นับถือของชาวเมืองอุบลฯ ตลอดสมัยของชีวิตยายพุ่ม

ภายหลังยายพุ่มย้ายมาอยู่ในซอยข้างวัดแจ้ง ยังคงเป็นผู้ที่หากทักท้วงอะไรจะเป็นจริงเช่นเดิม และยังเดินทางไปอาบน้ำที่ท่าน้ำตลาดใหญ่ทุกวนพระเหมือนเดิม จนกระทั่งเสียชีวิตอยู่ที่นี่ขณะมีอายุประมาณ 80 ปี

งานศพยายพุ่ม คนทั้งซอยวัดแจ้งร่วมกันเป็นเจ้าภาพ รวมทั้งพระเณรในวัดแจ้งด้วย

มีผู้ที่รู้จักใกล้ชิดยายพุ่มท่านหนึ่งคือ ป้านิภา เพียรสุข ปัจจุบันพำนักอยู่ตรงข้ามโรงแรมปทุมรัตน์ เมืองอุบลฯ ได้เล่าว่า

“ยาย พุ่มเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ถ้าพูดอะไรออกมาเป็นจริงหมด และยายพุ่มเคยบอกว่าพญานาคที่แม่น้ำมูล ยายพุ่มได้พบเห็นบ่อย อาจจะแทบทุกครั้งที่ลงไปอาบน้ำที่นั่น โดยมักจะเห็นคราวละ 2 ตัว บางทีก็ออกอาการเล่นน้ำหยอกล้อกันคล้าย ๆ จะเป็นนาคผัวมียทำนองนั้น”

เรื่องของยายพุ่มนี้คนที่รู้จักยายพุ่มทุกคนจะรับรองนับถือว่าเป็นความจริง นับว่าแปลกประหลาดดี



ยังมีอีกท่าน หนึ่งซึ่งมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับพญานาคอย่างชัดเจน เพราะมีพยานรู้เห็นเหตุการณ์มากมาย ท่านผู้นี้คือ ยายชีนวล แสงทอง วัดภูฆ้องคำ บ้านดงตาหวาน อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันอายุประมาณ 93-94 ปี

ยายชีนวลค่อนข้างจะมีความพิสดารอยู่ใน ตัวไม่น้อย จนแม้หลวงปู่คำพันธ์ได้เห็นยายชีนวลครั้งแรก ยังแสดงอาการผงะและออกปากว่า “ยายชีผู้นี้ไม่ใช่เล่น เป็นคนมีวิชาเต็มตัว” ซึ่งก็จริงตามนั้น เพราะว่ายายชีนวล
มีลูกศิษ์ลูกหา ทั้งโยมทั้งพระมากมาย ทั้งยังเป็นที่พึ่งคนทุกข์ใจทุกข์กายมาโดยตลอด

ในสมัยยายชีนวลเป็น สาวก็เป็นผู้ใฝ่ธรรม ถือศีล ออกปฏิบัติกับครูบาอาจารย์มากมายหลายสำนัก ทั้งยังเป็นสหายกับสำเร็จตัน ผู้ศิษย์สำเร็จลุนอีกด้วย สำเร็จตันจะไปไหนมักเรียกยายชีนวลไปด้วยกันเสมอ

พอถึงห้วงเวลาหนึ่ง ยายชีนวลก็แต่งงานมีครอบครัว โดยมีชายหนุ่มมาหลงรักและขอแต่งงาน ยายชีนวลได้กำหนดข้อแม้ว่า ถ้าจะแต่งงานกับฉันก็ได้ แต่ต้องรับว่ามี 2 ข้อที่ฉันจะขอเอาไว้คือ หนึ่งฉันจะไม่เข้าครัวทำอาหารให้กิน สองฉันจะไปจากบ้านกับพระกับเจ้าเมื่อไหร่ก็ไม่จำเป็นต้องบอก ชายหนุ่มผู้นั้นก็ยอมรับ

ยายชีนวลใช้ชีวิตแต่งงานอยู่นานพอสมควรก็ขอลาสามีออกบวชชี และบวชเรื่อยมาจนปัจจุบันนี้

ประสบการณ์ ในการพบเห็นพญานาคของยายชีนวลเกิดขึ้นขณะยายชีนวลมีอายุประมาณ 16-17 ปี ได้บวชเป็นชีแล้ว และด้วยความที่เป็นผู้อุปนิสัยเป็นอิสระในทุก ๆ อย่าง นึกจะไปไหนก็ไป ไม่เคยกลัวอะไร จึงออกธุดงค์ไปถ้ำแกลบ ซึ่งชาวบ้านรำลือว่ามีอาถรรพณ์และความน่ากลัวแอบแฝงอยู่

ถ้ำแกลบอยู่ ในพื้นที่ของอำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร ในสมัยปี 2472 นั้น บริเวณถ้ำแกลบคือ ป่าดงดิบรกทึบน่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุด ชาวบ้านละแวกนี้นไม่กล้าออกไปหาของป่าหรือไปทำอะไรอยู่แถว ๆ นั้น ด้วยมีคนเคยเห็นงูขนาดยักษ์เลื้อยเข้าอออกถ้ำแกลบบ่อย ๆ

เมื่อชาว บ้านเห็นแม่ชีสาวเดินธุดงค์มาและบอกความประสงค์จะขึ้นไปปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำ แกลบ ชาวบ้านก็ตกใจพากันห้ามปรามทัดทานเอาไว้ แต่ไม่สำเร็จ ไม่สามารถเปลี่ยนใจแม่ชีสาวได้ แม้แต่จะเดินทางไปส่งแม่ชีสาวถึงถ้ำแกลบก็ยังไม่มีใครยอมไป คงเพียงแต่อธิบายบอกทางและวิธีไปถึงถ้ำแกลบเท่านั้น

หลังจากแม่ชีสาว เดินขึ้นถ้ำแกลบเล้วก็หายเงียบไปเป็นเวลาแรมเดือน โดยไม่เคยมีใครได้ข่าวหรือเห็นแม่ชีสาวกลับลงมาหมู่บ้านเพื่อหาเสบียงอาหาร

ชาว บ้านทั้งหลายเริ่มวิพาษ์วิจารณ์ด้วยความรู้สึกนึกคิดไปประการต่าง ๆ ทั้งประหลาดใจ และห่วงใยแม่ชีสาว ซึ่งอายุก็ยังน้อยอยู่ จนที่สุดชาวบ้านประมาณ 10 คน รวมกลุ่มคนใจกล้าแล้วก็ตัดสินเดินกันขึ้นถ้ำแกลบเพื่อดูแม่ชีสาวว่าอยู่ อย่างไร

เมื่อไปถึงถ้ำแกลบ ทุกคนก็ตกตะลึงพรึงเพริด ขนลุกขนชันแทบคุมสติไม่อยู่

ตรงปากถ้ำนั้นมีงูหนอนแดง ลำตัวขาวขนาดใหญ่พันรัดลำตัวของแม่ชีสาวเอาไว้ จนเห็นแค่ใบหน้าและศีรษะของแม่ชีสาวเท่านั้น

ชาวบ้านทุกคนเชื่อว่าขระนั้นแม่ชีสาวคงจะเสียชีวิตไปแล้ว ก็พากันเผ่นหนีกลับลงมาหมู่บ้าน และเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เห็นให้คนทั้งหมู่บ้านฟัง แล้วสรุปว่าแม่ชีสาวตายไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

หลังจากนั้นอีก 2 วัน ชาวบ้านทั้งหลายก็มีอันต้องตกตะลึงอีกครั้ง เมื่อได้เห็นแม่ชีสาวเดินกลับลงมาจากถ้ำแกลบถึงหมู่บ้านโดยปลอดภัย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งยังบอกแก่ชาวบ้านว่า

“ไม่ต้องกลัวท่านพญานาคนั้นหรอก เพราะว่าท่านเป็นพญานาคมีศีลและปฏิบัติธรรมด้วย ขอเพียงให้ชาวบ้านเราทุกคนเมื่อจะขึ้นเขาหาของป่าหรือเข้าใกล้บรเวณนั้น ให้พากันบอกกล่าวท่านก่อน ให้เรียกชื่อท่านว่า พญานาคคำขาว แล้วทุกคนจะปลอดภัย ไม่มีอันตราย หากินก็จะง่าย”

ชาวบ้านทุกคนก้มกราบแม่ชีสาวด้วยความศรัทธาเลื่อมใส และยังกล่าวขวัญถึงเรื่องนี้สืบต่อมาจนทุกวันนี้

ปัจจุบันแม่ชีสาวนั้นกลายเป็นยายชีอายุเกือบ 100 ปี พำนักอยู่เพียงลำพังองค์เดียวในวัดภูฆ้องคำที่ไม่มีแม้แต่พระหรือเณรอยู่อาศัย

เมื่อ กลางปีที่แล้วยายชีนวลถูกงูกัด (เขาลือว่าเป็นงูจงอาง) คิดว่าตนเองจะต้องตายแน่แล้ว จึงกระเสือกกระสนขึ้นกุฏิเข้าพักในนั้น ปิดประตูเงียบจนตลอดคืน พอรุ่งเช้าก็ออกมา ไม่ตาย แถมยังแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า เดินเหินคล่องแคล่วกว่าเดิมอีกด้วย

ยาย ชีนวลมีวิชาความรู้ดีจริงสมคำหลวงปู่คำพันธ์ว่าไว้ ได้ช่วยเหลือญาติโยมมามาก แต่เป็นคนไม่ใคร่พูดเรื่องความหลังหรืออวดวิชา ใครสนทนาซักถามมักจะตอบว่า

“บ่อู้ บ่จัก” (ไม่รู้ ไม่เป็น)

http://www.ampoljane.com/new/index.php?option=com_content&view=article&id=163%3A-5&catid=48%3A2009-07-06-13-03-24&Itemid=80&showall=1

14 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 16 ดูรายการ
texsum
texsum
เป็น
ลองหาอ่านดูเรื่องราวสนุกน่าติดตามให้ธรรมะ "ภูริทัตชาดก"
16 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 2 ดูรายการ
~:*พนมวัน*:~
~:*พนมวัน*:~
เป็นที่รู้จักกันดี
เมื่อปีก่อน ไปดูเข้าทรงที่เค้าบอกว่าเป็นพญานาค ใน อ.เมือง หนองคาย ไปกัน ทั้งหมด 7 คน ร่างทรงชื่อป้าหนูนิ่ม บอกว่าเรากับคนในทีมอีกคน เป็นพญานาค แต่มากันคนละสายค่ะ จำไม่ได้แล้วว่าคนไหนเป็นสายไหน
17 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 1 ดูรายการ
deity
deity
เป็นที่รู้จักกันดี
จริงๆแล้ว

นาคคือไดโนเสาร์ที่วิวัฒนาการเปนมนุษย์

แต่ลงบาดาลหรือเปล่า?
17 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 2 ดูรายการ
(คุณต้องเข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน เพื่อที่จะโพสต์)
12ถัดไป >

วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2562

พญาศรีสัตตนาคสมุทรเทวา( Saka naga )นาคสีเขียวน้ำทะเล บุตรพระนางกัทรุ

#พญานาคสักกะระ หรือ #พญาศรีสัตตะนาคสมุทรเทวา





เป็นพญานาค สีเขียวปนฟ้า เหมือนน้ำทะเลสีเขียว ดวงตาสีม่วงเข้ม ท้องสีขาว

เป็นนาคทะเล เป็น บุตรชายของ พระนางกัทรุ กับ พระกัศยประพรหม เทพบิดร



พระศิวะ มีคำสั่งให้ ท้าวพญานาคสักกะระ

มาดูแล อาณาเขตแถบ แม่น้ำโขงตอนล่าง

กับแถบ ทะเลฝั่งอ่าวไทย

ขอน้อมกราบสักการะท่านพ่อศรีสัตตนาคราช ท่านแม่ศรีสัตญาณีเทวี

คาถาบูชา
พญาศรีสัตตนาคสมุทรเทวาและพญานาคีศรีสัตตญาณีเทวี

โอมศรีสัตตะราชันต์สมุทรเทวะ พญานาคีศรีสัตญาณีมหานาคะ มหานาคี เทวีนาคกัลยาณี มหานาคะ เทวา ชะยะ เตตี เตติ ประสิทธิลาโภ  เมตตัญ มหาลาโภ ปิโยนาคะ ขันธปริตตัง




ตำนาน"พญาศรีสัตตนาคราช"
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเมืองนครพนม!!
(เมื่อบวงสรวงที่คำชะโนดเสร็จ นี้เป็นจุดที่ 2 คณะจะเดินทางไปสักการะ)

พญาศรีสัตตะนาคสมุทรเทวา 1 องค์นาคาธิบดี ทั้ง 9 ทรงเป็นนาคบริสุทธ์ อาวุโสรุ่นที่ 1 กำเนิดจากไข่ 1000 ฟอง จากนางมัทรุ และ พระฤษีเทพบิดรกัสสยปะ
1 พญาอนันตนาคราช
2 พญาวาสุกรีนาคราช
3 พญากาละภุชคินทร์
4 พญาภุชงค์นาคราช
5 พญามุจรินทร์นาคราช
6 พญาศรีสัตตบันนาคสมุทร
7 พญาศรีสรรเพชรนาคราช
พระมเหสีคู่บารมี รัตนาวดีนาคินีนาฏ มีพระราชธิดาพระนามว่า อริญธิญาเทวี
สีพระวรกายแสดทอง พระองค์ เนตรนัยตาสีแดงอมส้มแสด
เป็นนาคราช สมุทรสายฮินดู
สีพระวรกายเจ้าย่ารัตนาวดี สีขาวอมม่วงอ่อน ขลิบทอง เนตรนัยตา นิลอมน้ำเงิน
ส่วนองค์ ธนบดีศรีสัตตบันหรือ เจ้าหล้า เป็นกษัตรย์ปกครองฝั่งลาว พระชายาคือ พระนางปิ่นมณี เป็น พระขนิษฐา เจ้าย่าศรีปทุม เจ้าหล้าทรงเป็นราชสถาปนิคในวังบาดาลชั้นสูงมีฤทธ์เยอะ เนื่องจากทรง เป็นลูกครึ่งมนุษย์ครึ่งนาค จึงทรงแปลงกายเป็นมานพไดัง่ายกว่านาคราชทั่วไป
พญาศรีสัตตนาคราชสมุทรเทวา ทรงเป็น 1 ในองค์นาคาธิบดีทั้ง 9 จะคนละพระองค์กับ องค์ธนบดีศรีสัตตบัน หรือเจ้าหล้าซึ่ง เป็น กษัตริย์ฝั่งลาว

พญาธนบดี ศรีสัตตนาคบาดาล หรือจ้าวหล้าฯ
เป็นพญานาคที่อยู่ในตระกลูเอราปัถถะมีพระวรกายสีเขียว ปล้องพระนาภีและพระเศียรเป็นสีทองพระองค์เป็นคนครึ่งพญานาค เพราะท่านมีพระบิดาเป็นมนุษย์ ส่วนพระมารดาของท่านนั้นเป็นพญานาคีพระราชธิดาของพญาสนธินาคราช และพญาศรีภาวนานาคิณีจ้าวหล้าฯ สามารถเนรมิตอินทรีย์เป็นพญานาคหรือเป็นมานพหนุ่มได้ง่ายกว่าพญานาคราชทั่วไป จะมาในกายของมานพหนุ่มนุ่งห่มสีเขียวมรกตหรือถ้าในช่วงเข้าพรรษาก็จะแต่งองค์ทรงภูษาสีขาวปักเหลื่อมพรรณรายสีมุก เป็นประกายสีเงินยวงเจิดจำรัส


  เผ่าพันธุ์ของ"พญามุจลินท์นาคราช" คือ "พญานาค 7 เศียร" ได้สืบสายพันธุ์มาจนถึง "พญาศรีสัตตนาคราช (นาคาธิบดีสีสัตตนาคบาดาล)" เชื่อกันว่าเป็น"กษัตริย์แห่งพญานาคฝั่งลาว" ส่วนฝั่งไทยนั้นมี "พญาศรีสุทโธนาคราช (นาคาธิบดีสีสุทโธ)" เป็น "กษัตริย์พญานาคฝั่งไทย"!! แต่เป็น "พญานาคเศียรเดียว" ซึ่งเล่ากันว่า สองราชาพญานาคคู่นี้เป็นสหายซี้ปึกกัน!!

  เรื่องราว"ราชาแห่งนาค"ทั้งสองตนนี้ "หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ" เกจิอาจารย์ชื่อดัง อดีตเจ้าอาวาสวัดธาตุมหาชัย เคยเล่าไว้ดังนี้.. ในผืนน้ำของประเทศไทยเรา มีพญานาคราชเป็นใหญ่นามกรว่า "พญาศรีสุทโธฯ" ชอบการจำศีลบำเพ็ญเพียร และปฏิบัติธรรม นิสัยอ่อนโยนมีเมตตา ไม่ชอบการต่อสู้ เข้าข่ายเป็นพญานาคผู้น่ารักนับถือ ส่วนฝั่งลาวนั้น มี "พญาศรีสัตตนาคราช" เป็นใหญ่เหนือพญานาคทั้งปวง ที่ทรงฤทธิ์มีอำนาจเหนือกว่าพญานาคทั้งหลายในสองแผ่นดินไทย-ลาว ถึงท่านเป็นพญานาคที่มีฤทธิ์เดช แต่ก็ชอบการจำศีลภาวนา และประพฤติปฏิบัติธรรมเหมือน"พญาศรีสุทโธนาคราช" มีตำนานกล่าวว่าท่านชอบมาที่วัดพระธาตุพนมเหมือนกัน จนถึงกับมีการทำ MOU ให้พันธะสัญญาแก่กันว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการความช่วยเหลือ ก็จะช่วยกันอย่างเต็มที่เต็มกำลังความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้อยใหญ่ประการใด..!!


  " พญาศรีสัตตนาคราช" มีความเด่นสง่าเหนือกว่าใครเพราะมี 7 เศียร ลำตัวเดียว ถือได้ว่าเป็น"ตระกูลพญานาค"ที่สืบสายพันธุ์มาแต่ครั้งพุทธกาล มีความใกล้ชิดพระพุทธองค์ และพระพุทธศาสนา จนอาจถือว่าเป็นต้นตระกูลแห่งพญานาคทั้งหลายทั้งปวง


  หลวงปู่คำพันธ์ท่านยังได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจอีกว่า "ส่วนใดที่อยู่ใกล้ต้นน้ำลำธาร หรือหากมีพิธีกรรมอันใดเกิดขึ้น ให้อัญเชิญบอกกล่าวแก่เหล่าพญานาค พิธีกรรมนั้นจะศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก.." จึงไม่แปลกใจทำไม!! คนในลุ่มน้ำโขงทั้งสองฟากฝั่งไทย-ลาว ถึงเคารพศรัทธาต่อองค์ญานาคเป็นนักเป็นหนา คงมาจากเหตุผลที่หลวงปู่ท่านเมตตา บอกกล่าวข้างต้นให้ลูกหลานลูกแม่น้ำโขง หมั่นประพฤติปฏิบัติสืบกันมานั่นเอง..


  ต้นกำเนิด"พญาศรีสัตตนาคราช" ริมฝั่งแม่น้ำโขง แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของจังหวัด ได้รับการเปิดเผยจาก นายสมชาย วิทย์ดำรงค์ ผวจ. ว่า เนื่องจากการเติบโตของการท่องเที่ยวในจังหวัดที่มีอย่างต่อเนื่องเพราะมีสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างมากมาย ทั้งที่เป็นโบราณสถาน โบราณวัตถุ สถานที่รำลึกประวัติศาสตร์ที่สำคัญ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ รวมถึงที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวนครพนม โดยเฉพาะ"เส้นทาง 3 ที่สุด!!" ของนครพนม ประกอบไปด้วย"สวยที่สุด" คือ..สะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งที่ 3 นครพนม - คำม่วน "งามที่สุด" ในเรื่องวิวทิวทัศน์ริมสองฝั่งโขง และ "ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด" อย่างองค์พระธาตุพนม แต่อย่างไรก็ดีเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพ ในด้านการท่องเที่ยวเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยว เข้ามาในพื้นที่ให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะช่วงนี้ประตูอาเซียนเปิดอ้าแล้วนั้นหมายถึงเม็ดเงิน ที่จะก่อให้เกิดเป็นรายได้กับพี่น้องประชาชนจำนวนมหาศาล อันจะเป็นการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับทุกคน!!

คำนมัสการหลวงพ่อพระเจ้าศรีโสภณสัตตนาค หรือ พญาศรีสัตตนาคราช (เจ้าพญานาค)

นะโม... ... 3 จบ

พุทธัง อาราธนานัง กะโรมิ
ธัมมัง อาราธนานัง กะโรมิ
สังฆัง อาราธนานัง กะโรมิ

โยโส ภะคะวา สิริโสภโณ อิทธิสัมนปํนโน
คะรุกะโต มานิโต ปูชิโต อะปะจิโต
พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ
สัพพะโรคะโสกุปัททะวะ ทุกขะโทมนัสสะ
สุปายาสา วินัสสันตุ อุตตุอัด ผะผะอัด
ปุญญังสุขัง ชีวิตตะสังขะยัมหิ

...แปล
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าศีโสภณสัตตนาค
ผู้ทรงถึงพร้อมด้วยฤทธานุภาพ พระองค์ใดที่ข้าพเจ้า
เคารพนับถือบูชากราบไหว้ ด้วยเศียรเกล้าแล้ว
ด้วยพุทธนุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ
ขอให้สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย
สัพพะเสนียดจัญไร จงวินาศสูญไปด้วยพุทธคาถาว่า
" อุตตุอัด ผะผะอัดปุญญังสุขัง ชีวิตตะสังขะยัมหิ " ด้วยเทญ

นี่คือรูปวาดผลงานของจิตรกรสเปน ชื่อชุด The temptation of buddha

@..ภาพพระพุทธเจ้าจริงหรือ???..@
.


ภาพที่เห็นข้างบนนี้คงเป็นที่คุ้นตาหลายคน
เพราะเป็นภาพที่มีการเผยแพร่กันมาก
แต่น้อยคนนักที่จะรู้ถึงที่มาที่ไป ของภาพ

บ้างก็เชื่อว่า..เป็นภาพถ่ายที่มีคนไปถ่ายรูปต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา แล้วมีภาพพระพุทธเจ้าติดมาในฟิล์ม
บ้างก็เชื่อว่า..เป็นภาพที่วาดโดยโอรสของรัชกาลที่ ๕
บ้างก็เชื่อว่า..เป็นภาพวาดของจิตรกรชาวฝรั่งเศส

***ซึ่งความเชื่อที่กล่าวมาข้างต้นนั้นล้วนแต่ผิดทั้งสิ้น***

ความจริงแล้วรูปต้นฉบับนั้นเป็นภาพวาดที่วาดโดยใช้สีน้ำมันบนผ้าใบขนาด กว้าง 290 ซม. ยาว 366 ซม. ดังในภาพข้างบนครับ

แต่แหล่งข้อมูลบางแห่งแปลงภาพนี้ให้เป็นสีขาวดำ เพื่อให้ภาพดูเก่าและดูขลังขึ้น

ภาพดังกล่าวมีชื่อเป็นภาษาสเปนว่า Las tentaciones de Buda (ตรงกับภาษาอังกฤษคือ The temptation of Buddha) วาดโดยจิตรกรชาวสเปน ที่ชื่อ Eduardo Chicharro









จิตรกรท่านนี้ได้รับแรงบันดาลใจในศาสนาตะวันออกจาก รพินทรนาถ ฐากูร ชาวอินเดีย ซึ่งเป็นคนเอเชีย คนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล โดยได้รับใน สาขาวรรณกรรม

Eduardo Chicharro ได้วาดภาพนี้ขึ้นระหว่าง ปี พศ. 2459 – 2464 (ใช้เวลาวาดประมาณ 5-6 ปี)

ปัจจุบันภาพนี้แขวนอยู่ที่ La Academia de Bellas Artes de San Fernando (The Academy of fined arts of St. Ferdinan) กรุงมาดริด ประเทศสเปน


วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ศรีนิวาสะ ไอเยนการ์ รามานุจัน นักคณิตศาสตร์อัจฉริยะชาวอินเดียผู้มีศรัทธาแรงกล้าต่อมหาเทพฮินดู





คุณคิดว่าความฝันคือ เหตุการณ์ความจริง
ในมิติโลกทิพย์หรือแค่ฝัน?

คุณคิดว่า มนุษย์ที่สื่อสารกับเทพได้มีจริงไหม?

ความรู้ต่างๆมากมาย พระเจัาฮินดูเมื่ออดีตเคยถ่ายทอด วิชาให้มนุษย์ได้จริงแบบ วิชาโหราศาสตร์ ที่ พระพรหม มาสอนพรามหณ์เมื่อ7000ปีก่อนจริงไหม?

รามานูจัน  อัจฉริยะพลิกโลกเขา

คืออัจฉริยะที่คิดสูตรคำนวณ ฟิสิกส์
จักรวาล หลุมดำ ดาราศาสตร์
ที่ ละเอียดอ่อนได้

โคตรสุดยอดที่กล้าบอกว่าทราบสูตรเพราะ

มีเทพธิดา มาเข้าฝันบอก สูตรคำนวณที่ละเอียดมากกว่า สูตรไอสไตน์

ทำไม เสมียนจนๆที่ไม่ได้เรียน จบสูงๆถึงรู้เรื่อง
ที่มันเข้าใจได้ยาก 

ไตเติ้ลหนัง The man who knew infinity

https://youtu.be/oXGm9Vlfx4w

ทำให้ความฝัน ที่อยากจะเป็นแบบ ไอนสไตน์
กลายเป็นความจริง ขึันมา

ความรู้ที่มาจาก เทพเจ้า

https://www.youtube.com/watch?v=P0idBBhGNgU

สาธุ กับhollywood ที่เอาไปสร้างหนังกับสร้างสารคดี ความรู้จากความฝัน

สายลี้ลับเชื่อว่าเขาสื่อสารกับเทพเจ้าได้

สายวิทย์ จะมองว่า ไอ้นี่โกหกบ้า แต่งเรื่อง

Movie หนังอินฟินิตี้
https://youtu.be/hlXHwMgS06c

เราคิดว่าดูใน แอพหนังอย่าง Netfilx ดีกว่า




Clip เล่าเรื่องคะ









Movie

รีวิว อัจฉริยะโลกไม่รัก The Man Who Knew Infinity | นักคณิตศาสตร์อินเดีย อินดี

หนังชีวประวัติของอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ชาวอินเดียที่เราอาจไม่เคยรู้จัก

หนึ่งในหนังที่กลายเป็นหมวดที่แย่งชิงรางวัลกันมากที่สุดในปีที่แล้วก็คือหนังชีวประวัติ มาถึงปีนี้ก็ยังคงมีหนังที่นำเอาชีวิตจริงของคนน่าสนใจของโลกมาเล่าถึงให้เราดูกันอย่างต่อเนื่อง วัตถุดิบนั้นมาจากหลากหลายที่ แต่ที่เห็นจะชัดเจนที่สุดก็คือการสร้างจากหนังสือ หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของ “รามานุจัน” นักคณิตศาสตร์อัจฉริยะชาวอินเดีย และ และหนังเรื่องนี้ชื่อ… ‘อัจฉริยะโลกไม่รัก The Man Who Knew Infinity’

อัจฉริยะโลกไม่รัก The Man Who Knew Infinity
สร้างด้วยแรงบันดาลใจจากเรื่องจริง ที่นำแสดงโดย Jeremy Irons (นักแสดงนำที่ได้ออสการ์จากเรื่อง ‘Reversal of Fortune’) และ Dev Patel (เคยมีชื่อเข้าชิงใน BAFTA Awards จากเรื่อง ‘Slumdog Millionaire’) กับเรื่องราวของเด็กหนุ่มจากเมืองมัทราส ที่ทั้งชีวิตมีแต่เรื่องตัวเลข
เขาเป็นอัจฉริยะ แต่คนทั้งโลกไม่รู้จัก

เรื่องย่อหนัง ‘อัจฉริยะโลกไม่รัก’

รามานุจัน (Dev Patel) หนุ่มอินเดียคนหนึ่งที่เกิดมาพร้อมกับความอัจฉริยะเชิงคณิตศาสตร์ เขาคิดทฤษฎีของมันได้เองตั้งแต่ยังเยาว์วัย และกลายเป็นวันๆ เขาเอาแต่ขลุกอยู่กับตัวเลขและสูตรต่างๆ จนไม่สนใจในวิชาอื่นๆ จนเขาสอบตกหมดยกเว้นเพียงวิชาคณิตศาสตร์ ในที่สุด เขาก็ต้องออกจากมหาวิทยาลัย
ไม่มีใครมองเห็นวี่แววความอัจฉริยะของเขานอกจากผู้ชายคนหนึ่ง….


ตัวอย่างหนัง ‘The Man Who Knew Infinity อัจฉริยะโลกไม่รัก’ [ซับไทย]
ที่พาเขาเข้าไปเป็นเสมียน อย่างน้อยเขาก็ได้งานทำ มีเงินหาเลี้ยงชีพพอจะหาบ้านให้แม่อยู่และพอจะมีเงินแต่งเมีย แต่สิ่งที่สูงสุดที่เขาอยากจะทำนั่นคือ การได้รับการตีพิมพ์สิ่งที่เขาค้นพบให้คนทั่วไปได้รับรู้ เขาส่งสูตรทางคณิตศาสตร์ที่ยังไม่มีใครค้นพบไปตามมหาวัทยาลัยต่างๆ เพื่อหวังการตอบรับ เกือบจะสิ้นหวัง แต่แล้วนักคณิตศาสตร์คนดังอย่าง Godfrey Hardy (Jeremy Irons) ก็ตอบรับกลับมา
เขาจึงต้องจากเมียและแม่ไปไกลถึงเกาะอังกฤษ

รีวิว วิจารณ์หนัง ‘อัจฉริยะโลกไม่รัก’

ในชีวิตหนึ่งๆ เราอาจพบว่าตัวเราเองไม่ได้เป็นคนที่มีความอัจฉริยะในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเลย เราอาจพบว่าเราเพียงชื่นชอบหรือถนัดในด้านใดด้านหนึ่งเพียงเท่านั้น และจะมีคนบนโลกนี้เพียงไม่กี่คนที่ก้าวข้ามขั้นไปถึงระดับ “อัจฉริยะ” แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็อาจยังต้องฝ่าฟันต่ออุปสรรคบางอย่างเพื่อจะไปถึงจุดหมาย

เดินเรื่องเรียบง่าย อังกฤษสำเนียงอินเดีย

หนังเรื่องนี้เดินเรื่องอย่างเรียบง่ายแต่เดินเรื่องไปอย่างค่อนข้างเร็วในช่วงต้น เล่าอย่างคร่าวๆ ไม่ได้ให้เวลาการปูเรื่องราวมากนัก เพื่อพาเราไปยังช่วงเวลาที่รามานุจันเดินทางไปอยู่บนแผ่นดินเกาะอังกฤษ
และใช้เวลาที่นั่นเพื่อประกาศในโลกได้รู้

อัจฉริยะโลกไม่รัก The Man Who Knew Infinity
ด้วยความที่ตัวละครหลายๆ ตัวเป็นคนอินเดีย อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บทพูดของพวกเขานั้นไม่ยืดยาว แต่ทว่าสละสลวยและคมคาย ไม่ยากเกินจะฟังให้เข้าใจ
หลังจากรามานุจันเดินทางมาพักอยู่ในเคมบริดจ์แล้ว เขาก็ได้พบกับศาสตราจารย์ฮาร์ดี้ผู้มีชื่อเสียง รวมทั้งลิตเติลวูดด้วย ซึ่งที่นั่นก็ทำให้เราได้เห็นถึงการต่อสู้ฝ่าฟันเพื่อการเป็นอัจฉริยะที่ประสบความสำเร็จ
แต่จุดหมายของเขาคือได้ตีพิมพ์สิ่งที่เขาคิดค้นขึ้นมา
ระหว่างทาง เหมือนว่าเขาต้องฝ่าฟันอะไรมากมาย ทั้งภายนอก และภายในใจของเขาเอง และยังรวมไปถึงคนที่อยู่อีกฟากฝั่ง … ครอบครัวของเขาด้วย

การแสดงที่สมกับเคยคว้าออสการ์ของ Jeremy Irons

เขาคือนักแสดงระดับรางวัลออสการ์ Jeremy Irons แม้ผมจะยังไม่ทันได้ชื่นชมผลงานรางวัลอันนั้น แต่อย่างก็ยังถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่มีโอกาสชมผลงานของเขาใน ‘The Man Who Knew Infinity’ เรื่องนี้

อัจฉริยะโลกไม่รัก The Man Who Knew Infinity
เขาแสดงเป็นศาสตราจารย์ฮาร์ดี้ อีกหนึ่งปรมาจารย์นักคณิตศาสตร์อีกคนของโลก ที่แม้จะว่าการอุทศตนเพื่อช่วยพิสูจน์ทฤษฎีต่างๆ ให้รามานุจันอาจจะทำให้ตนไม่มีเวลาจะสรรค์สร้างสิ่งที่เป็นเกียรติประวัติแก่ตนเองได้
แต่การได้ร่วมงานกับอัจฉริยะอีกคนหนึ่งของโลก มันก็เป็นสิ่งที่คุ้มแล้ว
อีกบุคคลหนึ่งที่จะลืมเสียมิได้เลย คือ รามานุจัน มีทั้งมารดาที่หวังดีมากยิ่งกว่าใครในโลก กับอีกบุคคลคือ ภรรยาผู้ที่ซึ่งเชื่อมั่นในพลังความสามารถของสามีตน ทั้งสองคนต่างเป็นกำลังใจชั้นดีที่ทำให้รามานุจันมุ่งมั่นสู้ต่อแม้จะต้องห่างไกลกัน
สิ่งนี้ทำให้ผมอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ ต้องปล่อยให้เอ่อออกมาด้วยความตื้นตัน

อัจฉริยะที่ถูกโลกลืม

เป็นคนอินเดีย, ไม่จบการศึกษา, ผิวดำ เหล่านี้อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนอังกฤษในสมัยนั้นดูแคลนเมื่อเห็นว่า รามานุจัน มาเดินเพ่นพ่านอยู่ในประเทศของเขา ยิ่งเมื่อบ้านเมืองอยู่ในระหว่างภัยสงคราม ผู้อยู่ในแวดวงการศึกษาก็จะยิ่งลดน้อยด้อยค่าความสำคัญลงไป แถมบางส่วนยังถูกดึงตัวไปเพื่อสร้างความก้าวหน้าด้านสรรพาวุธอีกด้วย
นี่แค่ในอังกฤษเท่านั้นนะ

อัจฉริยะโลกไม่รัก The Man Who Knew Infinity
ถ้าลองกลับย้อนไปมองถึงคนในอินเดียด้วยกัน ก็อาจจะยิ่งมองว่า เขาทำตัวแปลกแยกจากสังคม เคยเรียนก็เรียนไม่จบ ต้องออกมาขีดๆ เขียนๆ อยู่ในวัด ไม่มีใครเข้าถึงในสิ่งที่รามานุจันเข้าถึง ไม่มีใครรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำอยู่จะเป็นประโยชน์อย่างไรได้ นั่นเพราะไม่มีใครอ่านสิ่งที่เขาคิดออกแล้วเข้าใจ
รามานุจัน บอกว่าเขาได้รับทฤษฎีและสูตรพวกนั้นมาจากพระเจ้า พระเจ้าคือต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง นี่ก็อาจเป็นหนึ่งคำอธิบายความหมายของคณิตศาสตร์ได้เช่นกันว่า มันคือวิชาที่เป็นพื้นฐานของทุกสรรพสิ่ง อธิบายเหตุผลของทุกสรรพสิ่ง
แต่แม้ว่าเขาจะบอกได้ว่ารับสิ่งนั้นมาจากใคร มันก็อาจไม่สำคัญเท่ากับว่าสิ่งที่เขารู้นั้นมันเป็นความจริง เพราะไม่มีมนุษย์คนใดบนโลกจะเชื่อคำพูดของอัจฉริยะได้หากว่ามันไม่ได้มีเหตุผลรองรับที่หนักแน่นพอ
แต่นั่นแหละ ทุกวันนี้จะมีกี่คนกันที่รู้จักชื่อ รามานุจัน ว่าเป็นอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์คนหนึ่งของโลก แม้สิ่งที่เขาค้นพบอาจจะสร้างความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ให้กับโลกในเวลาต่อมาอย่างมากมาย
แต่ก็อาจยังไม่พอ….ให้โลกได้รู้จักเขา
————————————-
ชื่อภาพยนตร์: The Man Who Knew Infinity / อัจฉริยะโลกไม่รัก
ผู้กำกับภาพยนตร์: Matt Brown (as Matthew Brown)
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Matt Brown (screenplay), Matt Brown, Robert Kanigel (biography)
นักแสดงนำ: Dev Patel, Jeremy Irons, Malcolm Sinclair, Stephen Fry, Devika Bhise, Toby Jones, Jeremy Northam, Kevin McNally
ความยาว: 108 นาที
แนว/ประเภท: Biography, Drama
อัตราส่วนภาพ: 2.39 : 1
เรท: ไทย/, MPAA/PG-13
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย: 12 พฤษภาคม 2559
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: Edward R. Pressman Film, Xeitgeist Entertainment Group, Animus Films, Mongkol Major
BlogComment
The Man Who Knew Infinity

User Rating: Be the first one !
อ่านเรื่องอื่นๆ
 แท็ก

Photo of PatSonic

PatSonic

บล็อกเกอร์ผู้ชอบดูหนังหลากแนว ฟังเพลงหลายสไตล์ มีเวลาว่างก็จะออกไปท่องเที่ยว บางเวลาก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน หยิบซีรีส์ขึ้นมาดู แล้วก็จะหยิบมาเขียนให้ทุกคนได้อ่านกัน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *
 
 
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.



Back to top button