วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ประวัติพญาครรตะศรีเทวนาคราช นาคาธิบดีอันดับที่9



รูปวาดจาก Vlex digital arts



#พญาครรตะศรีเทวานาคราช

บทความนี้Copy มา ใครเขียนขึ้น
ก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ

กำเนิดในภาวะเทวดา พระวรกายสีน้ำตาลเข้ม เหมือนสีของดิน
พญานาคราชท่านนี้แปลกกว่าพญานาคราชองค์อื่นๆ ที่ ท่านนี้ไม่ได้มีวังบาดาลที่อยู่ในน้ำ แต่มีวังที่อยู่บนปราสาท ซึ่งตั้งอยู่บนผืนดิน ดังนั้น พญานาคองค์นี้มีลำตัวสีน้ำตาลเข้ม เหมือนสีของดิน ณ เขาพนมกุเลน ซึ่งเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยเหล่าเทพที่มีฤทธิ์ และเหล่าฤาษี โยคีที่มีตบะแก่กล้า มาบำเพ็ญเพียรเป็นเวลาหลายพันปี (ปัจจุบันเขาพนมกุเลนอยู่ในเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา) ได้มีชายหนุ่มสองพี่น้องเป็นคนตัดไม้ ได้เดินทางมายังเขาพนมกุเลนเพื่อตัดไม้และหาของป่า คนพี่ชื่อ “ครรตะ” ส่วนคนน้องชื่อ “สุริยัน” ทั้งสองรักกันมาก มีอะไรก็แบ่งปันกัน จนวันหนึ่งขณะแยกย้ายกันหาของป่าในเขาพนมกุเลน ทั้งสองได้เกิดพลัดหลงกัน ต่างตามหากันไม่พบ เพราะหลงไปในป่ามนต์ที่เกิดจากฤทธิ์ของโยคี ทั้งสองหากันหลายวันแต่ไม่พบ สุริยันผู้น้อง ได้อธิษฐานต่อเทวดาองค์หนึ่งให้ช่วย และได้มีเสียงดังมาว่า จะช่วยให้เจอ แต่จะถวายสิ่งใดเป็นการตอบแทน

เขาตอบว่า จะสร้างศาลบูชาท่านให้ เทวดาองค์นั้นตอบตกลง และดลใจให้ทั้งสองได้เจอกัน ทั้งสองเจอกันรู้สึกดีใจอย่างมาก กอดกันร้องไห้ และสุริยัน ได้ทำตามสัจจะแก่เทวดา โดยสร้างศาลให้ โดยครรตะผู้พี่เป็นคนมีความชำนาญในการตัดไม้ ใช้ขวานในมือ ตัดไม้ในป่ามา ส่วนคนน้องมีทักษะในการสร้างเรือนไม้ จึงนำไม้ที่พี่ชายตัดไว้มาสร้างศาลถวาย



เมื่อสองพี่น้องได้สร้างศาลถวายเสร็จ เทวดาองค์นั้นมาปรากฏและกล่าวขอบใจ แต่ท่านมีวิมานอยู่แล้วไม่ได้อยู่ในศาลนี้ และจะรอการสร้างศาลที่ใหญ่กว่านี้มากในภายหน้าจากสองพี่น้องคู่นี้ที่จะสร้างให้อย่างยิ่งใหญ่ ณ ที่แห่งนี้ ทั้งสองเอ่ยถามชื่อเทวดาองค์นี้ เทวดาตอบว่า เราคือ พระวิษณุ มาเพื่อรอการสร้างศาลยิ่งใหญ่จากทั้งสองที่จะสร้างถวายท่านในวันหน้า และถามทั้งสองว่า หากชาติหน้าเกิดใหม่ได้จะเกิดเป็นใคร คนน้องสุริยันบอกว่า หากเกิดชาติหน้าจะขอติดตามรับใช้พระวิษณุ ณ วิมานของท่าน ส่วนคนพี่ จะขอเกิดมาเป็นเทวดาบำเพ็ญบารมีที่พนมกุเลนนี้ พระวิษณุจึงให้พรเป็นไปตามนั้น

ต่อมาทั้งสองใช้ชีวิตในพนมกุเลน และปฏิบัติธรรมจนถึงวัยชราและตายจากไป พรที่เคยขอไว้จึงสัมฤทธิ์ผล คนพี่ ครรตะ มาเกิดเป็นเทวดาในขาพนมกุเลนสถานที่เดิม มีนามว่า ครรตะศรีเทพบุตร และมีอาวุธวิเศษติดมาด้วย คือ ขวานวิเศษ เป็นสุดยอดอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงที่พระวิษณุประทานให้เป็นรางวัล ซึ่งสามารถฟาดฟันศัตรูให้พินาศเพียงแค่ตวัดกวัดแกว่งแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

ส่วนคนน้อง ได้เคยขอตามไปรับใช้พระวิษณุ จึงได้ไปเกิดเป็นพญานาค ณ ท้องมหาสมุทรไกลออกไปจากพนมกุเลน และรับใช้พระวิษณุ ณ เกษียรสมุทร มีนามว่า “สุริยคุปต์” โดยมีชุดเกราะสุริยัน อันเป็นเกราะทิพย์ที่พระวิษณุประทานให้ จากผลบุญที่ได้สร้างศาลถวายท่าน โดยชุดเกราะนี้สามารถป้องกันอาวุธใดก็ได้ในโลกนี้

ทั้งสองพี่น้อง ไม่เคยได้พบเจอกันเลย เพราะกระจายจุติไปคนละที่ ครรตะศรี ได้ฝึกกรรมฐานในเขาพนมกุเลน จนบรรลุวิชาชั้นสูง มีฤทธิ์เดชอำนาจมหาศาล และ ปกครองดูแลเขาพนมกุเลน เพราะไม่มีใครจะมีฤทธิ์อำนาจ และ พละกำลังเท่าเทียมเขา จึงได้เป็นใหญ่ ณ ที่แห่งนี้

กาลเวลาผ่านไป ครรตะศรี ได้คิดถึงน้องชายตนเองที่เป็นพญานาค แต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่แห่งใด และชื่อใด จึงได้ออกจากพนมกุเลนเพื่อตามหาน้องชายในชาติก่อน และหากได้เจอต่อหน้าก็จะจำได้ ด้วยตนเองมีฤทธิ์อำนาจมาก จึงเกิดความคะนอง ขณะที่ตามหาน้องชายตนเอง ก็ท้าประลองฝีมือกับเหล่าเทวดา และพญานาคตามที่ตนเองผ่านทางไป ก็ได้รับชัยชนะมาตลอด



ครรตะศรี ได้ถามพญานาคที่แพ้ให้ตนว่า พญานาคตนใดที่เก่งกาจที่สุดให้เอ่ยชื่อมา เพราะเชื่อว่าพญานาคที่เก่งที่สุด คงจะเป็นน้องชายของตนเอง เพราะสร้างบุญมาด้วยกัน ฝีมือคงจะสูสีกัน พญานาคเหล่านั้นต่างบอกว่า พญาวาสุกรีนาคราช เป็นเลิศที่สุด

ดังนั้น ครรตะศรี จึงเข้าใจว่าพญานาคองค์นี้ต้องเป็นน้องชายตนเองแน่ จึงเดินทางไปยังวังบาดาลของพญาวาสุกรี โดยขอทดสอบฝีมือก่อนเพื่อให้แน่ใจ

พญาวาสุกรี เมื่อมีผู้มาหาถึงที่ และได้รับการท้าประลองฝีมือ ตนเองเป็นยอดนักรบอยู่แล้ว จึงตกลงรับท้าประลอง การปะทะกันระหว่างพญานาคที่เก่งกาจที่สุด กับ เทวดาแห่งเขาพนมกุเลน เป็นไปอย่างดุเดือดจนสั่นสะเทือนไปทั้งภพบาดาลและภพสวรรค์ แต่ไม่อาจหาผู้แพ้ชนะได้ เพราะทั้งกำลังและฤทธิ์ของทั้งคู่สูสีกัน แต่พญาวาสุกรีรู้ว่า ตัวเองได้เปรียบในการสู้ในครั้งนี้ เพราะเป็นการสู้ในน้ำ ซึ่งพญาวาสุกรี ถนัดที่สุด แต่ ครรตะศรีไม่ถนัดในน้ำ แต่หากไปสู้ในอากาศหรือพื้นดิน ตนจะต้องแพ้แก่ครรตะศรีแน่นอน ส่วนครรตะศรีเทพบุตร รู้ทันทีว่า พญานาคนี้ไม่ใช่น้องชายตนเอง จึงได้ขอตัวลาไป พญาวาสุกรี อยากได้ครรตะศรีมาเป็นพวกตน จึงหาสิ่งล่อใจมาให้ ท่านได้เชิญให้ครรตะศรี ไปเยี่ยมชมและพักผ่อนในวังบาดาลของตนเอง

ครรตะศรี ที่มีภารกิจตามหาน้องชาย ก็คิดว่าจะมาแวะชมวังบาดาลนี้ชั่วครู่ก่อนจะลาจากไป แต่เมื่อได้เห็นสิ่งต่างๆ ภายในวังบาดาลที่มีความวิจิตรงดงามอย่างยิ่ง ในเมืองประดับไปด้วยเพชรพลอยทองคำระรานตา ซึ่งต่างจากพนมกุเลนที่ตนเคยอยู่ ซึ่งเป็นป่าไม้ ภูเขา ไม่มีสิ่งเย้ายวนชวนหลงใหลเช่นนี้เลย เมื่อได้ทานอาหารทิพย์จากวังบาดาล ก็มีรสเลิศกว่า อาหารที่ตนเคยทานมาก่อน และยิ่งเห็นนางนาคีที่ออกมาร่ายรำต้อนรับ ซึ่งแต่ละนางมีความงดงามแช่มช้อย จึงเกิดความพิสมัยยิ่งนักโดยเฉพาะเมื่อได้พบกับ พระนางศิริมายานาคินีเทวี ผู้เป็นราชธิดาของพญาวาสุกรี ที่มีความงดงามเป็นเลิศที่สุดกว่านางนาคีใด จนครรตะศรี เกิดหลงรักอย่างสุดหัวใจ แต่ได้แต่เก็บงำความรู้สึกนี้ไว้ในใจ

และขณะที่ครรตะศรีได้เสพสำราญในวังบาดาลในฐานะแขกรับเชิญนั้นเอง ทางวังบาดาลของพญาวาสุกรี กำลังมีเรื่องใหญ่กับทางทัพพญานาคอีกฝ่ายที่มีข้อพิพาทเรื่องดินแดนกัน นำโดยพญานาคผู้เรืองฤทธิ์ ๒ ตน ที่พญาวาสุกรีไม่อาจเอาชนะได้ พญาวาสุกรี จึงได้นำทัพออกรบกับกองทัพพญานาคคู่อริซึ่งนามว่า พญาจันทรคุปต์ พญาวาสุกรีแม้จะมีฝีมือเก่งกาจเพียงใด แต่ไม่อาจชนะได้ และเห็นว่าควรให้ ครรตะศรี มาช่วยสู้รบด้วย ซึ่งฝีมือและพละกำลังของครรตะศรีนั้นเก่งกาจยิ่ง สามารถต่อกรกับคู่อริได้ไม่ยาก แต่พญาวาสุกรีคิดว่า จู่ๆ จะให้ครรตะศรีมาช่วยสู้รบให้ตนนั้นเกรงเขาจะไม่ยินยอม จึงคิดอุบายจะยกพระธิดาของท่าน ซึ่งเป็นที่หมายปองของครรตะศรีอยู่แล้วให้ ครรตะศรี เมื่อรู้ข่าวนี้ ในใจยินดีปรีดาเป็นที่สุดที่นางที่ตนหลงรักจะได้เป็นคู่ชีวิตของตน จึงรับปากตกลงจะช่วยสู้รบ

การออกรบในครั้งต่อมา ครรตะศรี เป็นหัวแรงใหญ่ในการนำทัพพญานาคออกสู้รบกับทัพพญาจันทรคุปต์ คู่อริ และด้วยอานุภาพแห่งกำลังฤทธิ์และอาวุธขวานวิเศษของครรตะศรี จึงกำราบกองทัพพญาจันทรคุปต์ นั้นลงได้ และพญาจันทรคุปต์ ได้รับบาดเจ็บหนักจนต้องยกทัพกลับไปรักษาตัวอีกนาน ชัยชนะในครั้งนี้ เป็นผลงานของครรตะศรีล้วนๆ จึงเกิดการเฉลิมฉลองไปทั้งวังบาดาล ทั้งฉลองชัยชนะ ควบคู่ไปกับการฉลองงานวิวาห์ระหว่าง ครรตะศรี และ พระนางศิริมายานาคินี ราชธิดา

หลังจากที่แต่งงานกันแล้ว พญาวาสุกรี จึงได้แบ่งอาณาเขตของวังบาดาลทางตอนใต้ ให้กับครรตะศรีปกครองดูแล แต่ทว่า การจะอยู่ในวังบาดาลได้นั้น ต้องเป็นพญานาคเท่านั้น ครรตะศรี เป็นเทวดา ไม่ใช่พญานาค จึงไม่อาจจะอยู่ในวังบาดาลได้ เพราะวังบาดาลแม้จะเป็นทิพยวิมานที่มีความวิจิตรงดงาม แต่หากอยู่ไปนานเข้า จะได้รับพิษของพญานาคที่ออกมาจากลมหายใจ ซึ่งจะทำอันตรายต่อครรตะศรี ดังนั้นวิธีเดียวที่จะให้ครรตะศรี สามารถอยู่ในวังบาดาลได้นั่นคือ ตนเองจะต้องกลายเป็นพญานาค และต้องลืมเลือนความทรงจำที่เป็นเทวดาเสียก่อน



ครรตะศรี มีความรักอย่างยิ่งต่อผู้เป็นภริยาซึ่งเป็นพญานาคที่งดงามยิ่ง และหลงใหลในทิพยวิมานในวังบาดาล จึงตกลงจะกลายเป็นพญานาค โดย พญาวาสุกรีได้ ร่ายมนต์แปลงให้ครรตะศรี กลายเป็นพญานาค และกินต้นไม่ทิพย์ในวังบาดาลเพื่อให้ลืมเลือนความทรงจำ จนตนเองได้ลืมเลือนทุกอย่างเกี่ยวกับตนเอง และลืมความตั้งใจจะตามหาน้องชาย ในที่สุด ครรตะศรี จึงกลายเป็นพญานาคในบัดนั้นเอง แม้ตนเองจะลืมความเป็นเทวดา แต่ตนเองก็ยังมีสภาวะของเทวดาอยู่โดยชาติกำเนิด จึงกลายเป็นครึ่งพญานาค ครึ่งเทวดา ท่านจึงมีนามว่า “พญาครรตะศรีเทวานาคราช”

พญาครรตะศรีเทวานาคราช ได้ปกครองดินแดนวังบาดาลอย่างปกติสุขเรื่อยมา จนกองทัพ จันทรคุปต์ที่เคยพ่ายแพ้แก่ พญาครรตะศรี ได้ยกทัพกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ พญาจันทรคุปต์ ได้ขอให้พี่ชายตนเองที่เป็นพญานาคราชที่เก่งกาจกว่าตนมากนัก มาช่วยสู้รบให้ พญาวาสุกรี และ พญาครรตะศรี จึงออกสู้รบกับ พญาจันทรคุปต์และผู้เป็นพี่ชาย พญาวาสุกรีได้เข้าต่อกรกับ พญาจันทรคุปต์ ซึ่งฝีมือก้ำกึ่งไม่แพ้ชนะกัน ส่วน พญาครรตะศรี ได้ต่อสู้กับ ผู้เป็นพี่ชายจันทรคุปต์ ฝีมือการสู้รบของพี่ชายนั้นล้ำเลิศ และ มีพละกำลังมหาศาลยิ่งกว่าพญาจันทรคุปต์มากนัก จนไม่อาจเอาชนะได้ ส่วนผู้เป็นพี่ชาย ก็เพิ่งจะพบเจอคู่ต่อกรที่ฝีมือเหนือชั้นสูสีกับตนเองครั้งแรกอย่างพญาครรตะศรี

พญาครรตะศรี ใช้ขวานวิเศษของตนเองขึ้นมาร่ายมนต์สูงสุดและฟาดฟันไปที่คู่อริ แต่ฟาดฟันไม่เข้า ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ขวานไม่อาจทำอันตรายคู่ต่อกรได้ เพราะผู้นี้มีชุดเกราะวิเศษที่ทนทานต่อทุกสรรพาวุธ พญาครรตะศรี ได้เข้ามาสู้ในระยะประชิดและได้ฟาดฟันขวานเต็มแรง แรงเหวี่ยงของขวานลงมาฟาดเข้าที่ชุดเกราะแต่ไม่สามารถทำอันตรายได้ ซ้ำปลายขวานยังฝังลงไปในเนื้อชุดเกราะ แต่ไม่เข้าถึงเนื้อ พญาครรตะศรีไม่อาจดึงขวานออกมาได้ ซึ่งทำให้เป็นทีของผู้พี่ ที่ใช้จังหวะนี้ หมายจะทำร้ายด้วยการใช้ดาบแทงไปยังพญาครรตะศรี จังหวะนั้นเองที่ พญาวาสุกรี ได้เหลือบเห็นเหตุการณ์ที่พญาครรตะศรีจะเสียทีแก่ข้าศึก จึงร้องเอ่ยชื่อว่า ระวัง พญาครรตะศรี !!

จังหวะที่ผู้พี่จะแทงเข้ากลางหน้าอกพญาครรตะศรี ซึ่งไม่มีทางที่จะป้องกันไว้ได้ ด้วยความเร็วของแรงดาบ และหากถูกแทงเข้าไป พญาครรตะศรี จะต้องสิ้นชีพแน่นอนแต่เมื่อเขา ได้ยินชื่อ พญาครรตะศรีนี้ ถึงกลับหยุดชะงัก และความทรงจำของตนเองจึงระลึกได้ว่า นี่คือ ผู้เป็นพี่ชายของเขาในอดีตชาติ

พญานาคผู้พี่พญานาคผู้นี้ มีนามว่า พญาสุริยคุปต์นาคราช ผู้เป็นน้องชายของพญาครรตะศรี เมื่ออดีตชาติสมัยที่เป็นช่างตัดไม้ สร้างเรือนให้พระวิษณุที่เขาพนมกุเลน เป็นผู้ที่พญาครรตะศรี ได้ออกตามหามาเนิ่นนาน

พญาสุริยคุปต์ ได้จ้องมอง พญาครรตะศรี และเอ่ยชื่อเพื่อเตือนความทรงจำ แต่พญาครรตะศรี ได้ลืมเลือนความทรงจำไปหมดแล้ว ไม่ได้เอะใจที่ พญาสุริยคุปต์ ยั้งมือไม่ได้ทำร้ายตน และหลงคิดว่า พญาสุริยคุปต์ เผลอเปิดช่องให้ พญาครรตะศรี คิดได้ที จึงพ่นพิษเข้าใส่ใบหน้าพญาสุริยคุปต์จนได้รับพิษร้ายแรงจนล้มลง




พญาสุริยคุปต์ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัส แต่ได้จ้องมอง พญาครรตะศรี ไม่ใช่สายตาอาฆาตแต่ เป็นสายตาแห่งความยินดีที่ได้เจอผู้เป็นพี่ชาย พญาครรตะศรี ได้เห็นดังนั้นจึงแปลกใจ และทันใดนั้น เกราะสุริยันและขวานวิเศษที่เป็นอาวุธของทั้งสองที่ตอนนี้อยู่ติดกันได้เปล่งประกายแสงทองออกมา แสงนั้นให้สาดเข้าหาทั้งสองคน

พญาครรตะศรีได้รับแสงทองนั้น ความทรงจำเดิมทั้งหมดของตนเองได้กลับคืนมาและเห็นว่า เบื้องหน้าตนเอง คือ พญาสุริยคุปต์ ผู้เป็นน้องชายที่ตามหา แต่บัดนี้ได้มาเจอแล้ว แต่ตนเองเป็นผู้ทำร้ายผู้น้อง จึงรู้สึกเสียใจอย่างหนักและโผเข้ากอด ทั้งสองต่างร้องไห้แก่กันและกันด้วยความอาลัยและความเสียใจ

พญาครรตะศรีได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พญาวาสุกรีและพญาจันทรคุปต์ฟัง ดังนั้นสงครามจึงยุติลง พญาสุริยคุปต์อาการหนักเพราะพิษเข้าซึมในร่าง พญาสุริยคุปต์นับถือองค์พระวิษณุอย่างยิ่ง และก่อนที่ตนจะมาทำสงครามช่วยน้องชาย คือพญาจันทรคุปต์นี้ ตนเองได้คิดถึงผู้เป็นพี่ชายในอดีตชาติ คือ ครรตะศรี และขอพรแก่พระวิษณุ หากตนได้พบเจอกับพี่ชายอีกครั้ง คราวนี้จะขอบนด้วยการสร้างเทวาลัยที่ยิ่งใหญ่เพื่อบูชาองค์พระวิษณุ จากเมื่อครั้งก่อนเคยสร้างศาลไม้ให้ เมื่อครั้งพลัดหลงกับพี่ชายที่เขาพนมกุเลน หลังจากพระวิษณุช่วยให้ได้พบเจอกัน

พระวิษณุ ไม่ได้อยากให้ทั้งสองเจอกันเพราะรู้ว่าจะต้องเจอวิบากกรรมหนัก ต้องพลัดพรากกันไปอย่างน่าเศร้า แต่ด้วยแรงปรารถนาของเขาแรงกล้ามาก จึงต้องดลใจให้มาเจอกัน แม้ว่าจะเจอกันด้วยทางที่น่าเศร้าเช่นนี้ แต่จะขอทำตามปณิธาน แต่ทว่าไม่อาจทำได้แล้ว เพราะตนกำลังจะตาย แต่จะขอตั้งสัจจะต่อพระวิษณุ ว่าหากตนเองเกิดใหม่ในชาติหน้า ไม่ว่าต้องมาเกิดในภพภูมิใด จะขอทำปณิธานตนเองให้สำเร็จ คือการสร้างเทวสถานบูชาท่าน พระวิษณุได้มาปรากฏต่อหน้าและรับคำที่พญาสุริยคุปต์ร้องขอ พญาสุริยคุปต์ ได้สั่งเสียให้ พญาครรตะศรี ผู้พี่ นำร่างตนไปฝังไว้ ณ ดินแดนใกล้กับเขาพนมกุเลน จากนั้นได้สิ้นชีพลง ณ อ้อมกอดของพญาครรตะศรี

พญาครรตะศรี รู้สึกเสียใจอย่างหนัก ที่เป็นต้นเหตุทำให้น้องรักของตน เสียชีวิตลง และคิดว่าเป็นเพราะความหลงระเริงใน อำนาจ และทิพยสมบัติ ในวังบาดาล จนทำให้ตนเองต้องยอมลืมเลือนปณิธานของตนเองไปนั่นคือการ ตามหาน้องชาย หนำซ้ำยังมาทำร้ายน้องชายจนสิ้นชีพ พญาครรตะศรี เสียใจหนัก และ ไม่คิดจะครองวังบาดาลอีกต่อไป พร้อมสละสมบัติและภริยาสุดที่รักไว้เบื้องหลัง และกลับไปยังแดนเกิดคือ เขาพนมกุเลน พร้อมร่างของผู้น้อง เพื่อบำเพ็ญธรรม ณ ที่แห่งนั้น

พญาครรตะศรีแม้จะสละทิพยสมบัติในวังบาดาลมา แต่กายตนเองก็ยังเป็นพญานาคอยู่ แต่ตนสามารถเนรมิตเป็นเทพบุตร หรือ พญานาคก็ได้ พญาครรตะศรี เผ้ารอให้ดวงจิตของ พญาสุริยคุปต์ มาจุติใหม่ ซึ่งได้รับรู้จากญาณทัศนะว่า อีกหลายหมื่นปีจากนี้ ดวงจิตของพญาสุริยคุปต์ จะมาจุติในร่างมนุษย์ ณ ดินแดนบริเวณนี้ ในวรรณะกษัตริย์และเป็น จอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ พญาครรตะศรี ได้บำเพ็ญธรรมจนกาลล่วงมา ถึงวันที่ ดวงจิต พญาสุริยคุปต์ มาจุติในวรรณะกษัตริย์

พญาครรตะศรี ดีใจอย่างสุดซึ้งที่การเฝ้ารอคอยจะได้พบเจอ น้องชายสิ้นสุดลง จึงได้เหาะไปยังห้องประสูติ จากนั้นได้เนรมิตเกราะสุริยัน อันเป็นอาวุธเดิมของ พญาสุริยคุปต์ ให้ไปรองรับร่างของผู้น้องในร่างของทารกน้อย ทางหมอทำคลอด นางสนม นางในเห็น มีเกราะสีแดงมา ปรากฏรองรับร่างพระโอรส ก็ตกใจ และไปทูลพระราชา พระราชาให้โหรหลวงทำนาย ได้ความว่า โอรสผู้นี้เป็นผู้มีบุญญาธิการมาจุติและมี สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพญานาคคุ้มครอง จึงได้ตั้งชื่อพระโอรสผู้นี้ว่า “พระเจ้าสุริยวรมันต์” สุริยะ แปลว่า พระอาทิตย์ วรมันต์ แปลว่า เกราะ

พระโอรส สุริยวรมันต์ เป็นเด็กที่ฉลาดปราดเปรื่อง และชอบเรียนรู้ศาสตร์หลายแขนงและแตกฉานทุกศาสตร์ อีกทั้งมีฝีมือการรบที่ยอดเยี่ยม เมื่อพระองค์เจริญวัยจนอายุได้ ๑๔ ปี พญาครรตะศรี ที่คอยดูแลคุ้มครองอยู่ เห็นว่าพระโอรสโตพอจะรับรู้เรื่องราวต่างๆได้แล้ว จึงได้มาปรากฏตัวและได้เล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟัง พระโอรสแม้จะจำเรื่องราวต่างๆไม่ได้ แต่ก็มีความรู้สึกผูกพันกับ พญาครรตะศรี อย่างยิ่ง ได้แต่เชื่อสิ่งที่พญาครรตะศรี บอกมา



พญาครรตะศรี ได้เล่าเรื่องที่ พระโอรส เมื่อครั้งยังเป็นพญาสุริยคุปต์ มีปณิธานแรงกล้าที่จะ สร้างเทวสถานบูชาแด่พระวิษณุ พระโอรสได้ฟังดังนั้น จิตเดิมจึงเตือนให้เกิดความรู้สึกเช่นนั้นอย่างแรงกล้า จึงลั่นวาจาว่าจะต้องสร้างเทวาลัยนี้ให้สำเร็จ และจะสร้างอย่างยิ่งใหญ่ให้โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ โลกบาดาลได้ประจักษ์ พญาครรตะศรี มองเห็นภาพในความคิดของเทวสถานนั้นในจิตของพระโอรส และมองว่า เพียงชั่วอายุคนหนึ่งที่แสนสั้น ไม่อาจสร้างให้เสร็จได้ เว้นแต่พญาครรตะศรี จะต้องมาช่วยเหลือด้วย

พญาครรตะศรี ได้มอบพลังวิเศษให้พระโอรส ที่ช่วยให้พระองค์มีพละกำลังมหาศาลและเชี่ยวชาญในศาสตร์การสู้รบ เพื่อจะได้ครอบครองดินแดนในบริเวณนี้ให้หมด และปราบชมเผ่าที่เป็นก๊กเป็นเหล่า รวมแผ่นดินเป็นจักรวรรดิ เพื่อจะได้มีไพร่พล บริวารเพื่อจะมาสร้างเทวสถานที่ยิ่งใหญ่นี้ได้

ผ่านไปไม่กี่ปี พระโอรสได้ขึ้นครองราชย์สมบัติปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้าสุริยวรมันต์ ที่ ๒ และยกทัพไปปราบแว่นแคว้นต่างๆ จนรวบรวมดินแดนเป็น จักรวรรดิขอม อย่างยิ่งใหญ่

จากนั้น พระเจ้าสุริยวรมันต์ ได้วางแผนสร้างเทวาลัยที่ยิ่งใหญ่เพื่อบูชาพระวิษณุ โดยได้ถามพญาครรตะศรีว่า ควรจะสร้างจุดใด พญาครรตะศรีแนะว่า ควรสร้างบริเวณที่ฝังศพของ พญาสุริยคุปต์ อดีตชาติของพระองค์เอง ที่ พระยาครรตะศรี ได้นำศพมาฝังที่นี่ ซึ่งเป็นที่ราบลุ่ม

พระเจ้าสุริยวรมันต์ จึงเลือกทำเลตามที่ได้รับคำแนะนำ แต่ปัญหาอีกประการเกิดขึ้น คือ อาณาจักรบริเวณนั้นแต่เดิม ไม่เคยมีการบูชาพระวิษณุ เทวสถานในแคว้นต่างๆ จะเป็นไศยวนิกาย ซึ่งบูชาองค์พระศิวะ ทำให้พระเจ้าสุริยวรมันต์ กังวลว่า หากไม่มีผู้ศรัทธาพระวิษณุ การจะให้ไพร่พลมาร่วมสร้างเทวาลัยด้วยความศรัทธานี้ จะไม่สำเร็จ จึงได้มาปรึกษา พญาครรตะศรี พญาครรตะศรีแนะว่า จะต้องให้ผู้คนนั้น ศรัทธาในพระวิษณุโดยเชื่อว่า พระวิษณุคือเทพแห่งการบำรุงรักษา ผู้ใดบูชาจะมีอายุยืนยาวและพบกับความสุขอย่างยิ่ง

คำแนะนำนี้ สำเร็จผล ผู้คนเริ่มศรัทธาและ เริ่มก่อสร้างเทวสถานที่ยิ่งใหญ่นี้ โดยพระเจ้าสุริยวรมันต์ ได้กำหนดแผนผังจากจิตเดิมของตนเอง คือการสร้างเป็นยอดปราสาท ยอดปรางค์ ๕ ยอด ตรงกลางเป็นยอดใหญ่ที่สุดและยอดปรางค์อีก ๔ ที่เล็กกว่า รายล้อมยอดใหญ่ไว้ ๔ ทิศ ซึ่งเป็นการจำลองมาจากเขาพระสุเมร ที่อยู่ตรงกลางจักวาล โดยมีเขา ๔ ลูกรายล้อม ๔ ทิศ

พระยาครรตะศรี แนะให้พระองค์ใช้หินทราย หรือ ศิลาแลงที่อยู่บนเขาพนมกุเลน ซึ่งเป็นสถานที่บำเพ็ญของเหล่า เทพเทวา และโยคีผู้มีฤทธิ์ ทำให้สภาพหินและดินนั้นได้ซึมซับทิพยภาวะ กลายเป็นศิลาแลง ซึ่งจะบังเกิดความขลังด้วยอิทธิมนต์จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าสุริยวรมันต์ ได้ระดมไพร่พลนับหมื่นคนไปขนหินศิลาแลงมาจากเขาพนมกุเลนมาสร้างเทวาลัย แต่ระยะทางที่ไกลจากจุดที่จะสร้างมาก และการขนหินขนาดใหญ่มาตัดเพื่อทำเป็นก้อนสี่เหลี่ยม เป็นไปได้ยากเพราะไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัย และ ใช้เวลานานมาก

พญาครรตะศรีได้ใช้อิทธิฤทธิ์ตัดหินบนเขาเป็นแท่งสี่เหลี่ยม และเนรมิตให้หินศิลาแลงนั้นเบาดั่งปุยนุ่น ทำให้ไพร่พลสามารถขนมาได้อย่างง่ายดาย การสร้างเทวาลัยนี้รุดหน้าไปมาก แต่ปัญหาเกิดตามมาอีก คือ เมื่อฝนตกหนัก น้ำจะซึมในพื้นดินทำให้ดินยุบตัวและทำให้ฐานรองรับเทวาลัยนี้คลอนแคลนและพังลงมาได้ พระเจ้าสุริยวรมันต์ จึงได้ขอแนะนำจาก พญาครรตะศรี ซึ่งได้แนะว่า จะต้องให้ไพร่พลขุดสระน้ำล้อมรอบ เพื่อเป็นฝายกักน้ำไว้ และ สร้างทางระบายน้ำ ให้น้ำในฝายไหลออกไปยัง ทะเลสาบ โดยให้ไปขุดสร้างทะเลสาบที่ไกลออกไป เพียงเท่านี้ ฝนตกหนักเพียงใดก็ไม่อาจทำให้เทวาลัยคลอนแคลนได้ พระเจ้าสุริยวรมันต์ จึงสั่งให้ไพร่พลทำตามนั้น และขุดทะเลสาบ ซึ่งทะเลสาบนี้มีชื่อว่า “โตนเลสาบ” นั่นเอง

ในที่สุดมหาเทวาลัยที่ยิ่งใหญ่ก็ได้สำเร็จเสร็จสิ้นอย่างอลังการ พระเจ้าสุริยวรมันต์ ได้ทำตามปณิธานของพระองค์ได้สำเร็จสมบูรณ์ และได้ตั้งชื่อมหาเทวลัยนี้ว่า “ปราสาท นครวัด” หรือ อังกอร์ วัด

ปราสาทนครวัด เป็นปราสาทเทวาลัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก และสร้างจาหินศิลาแลง ความยิ่งใหญ่แห่งสถาปัตยกรรมนี้ สร้างความประหลาดใจให้แก่นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร นักโบราณคดี และนักธรณีวิทยาเป็นอย่างมาก เพราะปราสาทที่ยิ่งใหญ่นี้ ตามหลักแล้วไม่สามารถสร้างจากแรงงานคนได้สำเร็จ และหินศิลาแลงที่นำมาจากยอดเขาพนมกุเลนที่อยู่สูงลิบ สามารถเคลื่อนมาได้ด้วยกำลังแรงคนนั้น เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ โดยไม่มีอุปกรณ์ตัดหินทีทันสมัย อีกทั้งสถานที่ตั้งเป็นพื้นดินที่ซึมน้ำง่าย เมื่อฝนตกหนักปราสาทต้องพังลงมาแน่นอน แต่สามารถหาทางแก้ด้วยการขุดทะเลสาบ ซึ่งภูมิปัญญาอันยอดเยี่ยมนี้ แทบจะเป็นไปได้ยากที่คนสมัยนั้นจะคิดออกได้ สิ่งนี้สร้างความงุนงงให้กับเหล่านักธรณีวิทยาและวิศวกร ด้วยความมหัศจรรย์แห่งการสร้างสรรค์ที่เหลือเชื่อ และไม่อาจหาคำตอบว่าสร้างมาได้อย่างไร ปราสาทนครวัดจึงได้ถูกยกย่องให้เป็น ๑ ใน ๗ สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

ภายหลังผ่านช่วงระยะเวลายาวนานแห่งการสร้างปราสาทนครวัดเสร็จสิ้น พระเจ้าสุริยวรมันต์ก็ล่วงเข้าวัยชราแล้ว พระองค์ได้สร้างปณิธานนี้จนสำเร็จและได้ฝากฝัง ปราสาท นครวัดนี้ให้ พญาครรตะศรี คอยดูแลต่อไป พญาครรตะศรี รับปากจะดูแลสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนี้ให้ปลอดภัยจากข้าศึกที่จะมาทำลาย พระเจ้าสุริยวรมันต์ สิ้นพระชนม์ และมีรัชทายาทสืบบัลลังก์ต่อ กาลเวลาผ่านไป อาณาจักรขอมของพระองค์ก็เสื่อมลงไป และถูกครอบครองจากอาณาจักรอื่น ซึ่งผลัดกันมาครอบครอง แต่ไม่มีอาณาจักรใดครอบครองได้นาน ก็ต้องคืน บริเวณนี้ให้แก่ลูกหลานและพสกนิกรของพระเจ้าสุริยวรมันต์ เพราะอิทธิฤทธิ์ของพญาครรตะศรี

ปราสาทนครวัด อยู่ในเมืองเสียมเรียบ และเคยถูกอาณาจักรเจาม หรือชาวเวียดนาม ยึดครองแต่ครองได้ไม่นานก็ต้องปลดปล่อยให้เป็นอิสระ

ต่อมาได้ถูกอาณาจักรไทย ครอบครอง และต่อมาก็ต้องคืนดินแดนนี้ไป (ซึ่งไทยเสียดินแดนให้ต่างชาติไป ๑๔ ครั้ง แต่ ครั้งนี้ถือว่าเป็นการเสียดินแดนที่น่าเสียดายที่สุด)

ต่อมาชาติฝรั่งเศส ครอบครองดินแดนนี้ และไม่นานก็ต้องคืนดินแดนนี้ให้กับคนพื้นเมืองซึ่งเป็นผู้สืบเชื่อสายจาก พระเจ้าสุริยวรมันต์

มีหลายคนมองว่า ดินแดนนี้ไม่มีใครจะสามารถครอบครองได้ เพราะจะเกิดเหตุอาเพทอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ผู้ครอบครองและไม่รู้ว่าเกิดจากสิ่งใด แต่สุดท้ายต้องคืนให้ไป

ทุกวันนี้ ปราสาทนครวัด นอกจากจะเป็นสถาปัตยกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ ยังเป็นเมืองมรดกโลก อีกทั้งยังเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยือนที่นี่ เพื่อสัมผัสกับความมหัศจรรย์แห่งการสร้างสรรค์ที่สุดวิเศษ เกิดความเจริญรุ่งเรืองในบริเวณโดยรอบ เป็นที่ตั้งโรงแรม สถานบันเทิงมากมาย และสร้างรายได้ให้กับคนท้องถิ่นที่เป็นลุกหลานของ พระเจ้าสุริยวรมันต์ ทั้งสิ้น และเป็นเพราะการปกป้องและดูแลอย่างซื่อสัตย์ของพญาครรตะศรีนาคราช นั่นเอง ซึ่งปัจจุบันก็ยังดูแลนครวัดแห่งนี้ไม่เสื่อมคลาย

พญาครรตะศรีนาคราช จึงได้รับการสถาปนาให้เป็น องค์นาคาธิบดี องค์ที่ ๙ ซึ่งเป็นนาคกษัตริย์องค์สุดท้าย



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น